คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1651-1652/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 เป็นเจ้าพนักงานตำรวจได้ร่วมกับจำเลยที่ 5 ถึงที่ 7 ซึ่งไม่ใช่เจ้าพนักงานทำการจับกุมผู้เสียหายไป ทั้งที่ยังไม่ปรากฏหลักฐานว่าผู้เสียหายได้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด แล้วขู่เข็ญผู้เสียหายให้หาเงินมาให้มิฉะนั้นจะนำไปดำเนินคดีผู้เสียหายยอมหาเงินมาให้ตามที่จำเลยเรียกร้องระหว่างรอรับเงินค่าไถ่จำเลยได้หน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายไว้ในที่ต่างๆดังนี้การกระทำของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 148 และมาตรา 313 ไม่ใช่เป็นการกระทำความผิดเฉพาะแต่มาตรา 148 เท่านั้นส่วนจำเลยอื่นมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148,86 และมาตรา 313 ทั้งเป็นความผิดสำเร็จแล้วแม้จะยังไม่ได้รับเงิน ความผิดฐานจับคนไปเรียกค่าไถ่นั้น จำเลยทุกคนเป็นตัวการในการกระทำความผิดด้วยกันได้โดยการร่วมกันกระทำผิดแต่แบ่งแยกหน้าที่กันทำ จำเลยที่ 2 ถูกจับได้พร้อมอาวุธปืนของกลางขณะไปรอรับเงินค่าไถ่แม้จะยังไม่ได้ใช้อาวุธปืนนั้นกระทำความผิดใดแต่พกติดตัวอยู่ในสภาพที่จะนำออกใช้ได้เมื่อต้องการแสดงถึงเจตนาของจำเลยที่ 2 ที่นำอาวุธปืนไปใช้ในกิจการรอรับเงินค่าไถ่โดยเฉพาะไม่ใช่เพื่อนำไปปฏิบัติหน้าที่ตามใบอนุญาตพกของทางราชการ อาวุธปืนของกลางจึงเป็นทรัพย์สินที่ได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(1) อันศาลจะพึงใช้ดุลพินิจสั่งริบได้

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลรวมการพิจารณาพิพากษาโดยโจทก์ฟ้องทำนองเดียวกันขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 4, 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 86, 91, 148, 157, 313 ริบของกลาง
จำเลยทั้งเจ็ดให้การปฏิเสธ
ก่อนสืบพยาน ศาลจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 7 เพราะตาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 148, 313(2)(3) ประกอบด้วยมาตรา 83 จำเลยที่ 5 ที่ 6 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148, 86 และมาตรา 313(2)(3) เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามมาตรา 313(2)(3) ซึ่งมีโทษหนักที่สุด จำเลยที่ 1 และที่ 6 มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ด้วย
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยร่วมกันจับผู้เสียหายไปทังที่ยังไม่ปรากฏหลักฐานว่าผู้เสียหายได้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด เพื่อเรียกเงินจากผู้เสียหาย300,000 บาท มิฉะนั้นจะนำตัวผู้เสียหายไปดำเนินคดี ผู้เสียหายมีความกลัวยอมตกลงให้เงินกับจำเลยตามที่เรียกร้อง โดยภริยาผู้เสียหายไปหาเงินเพื่อจะมาให้พวกจำเลยเป็นค่าไถ่ตัวผู้เสียหาย ระหว่างรอรับเงินค่าไถ่จำเลยได้หน่วงเหนี่ยวกักขังตัวผู้เสียหายไว้ที่โรงแรมและตามสถานที่ต่าง ๆ การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 313 และเป็นความผิดสำเร็จแล้วแม้จะยังไม่ได้รับเงินไม่ใช่พยายามกระทำความผิด และไม่ใช่กระทำความผิดเฉพาะเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบตามมาตรา 148 อย่างเดียวตามที่จำเลยฎีกา
ความผิดฐานจับคนเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่นั้น จะทำลำพังจำเลยที่ 1 คนเดียวย่อมเป็นไปไม่ได้ โดยเฉพาะคดีนี้ต้องคุมตัวผู้เสียหายไว้ที่หนึ่ง ไปรับเงินจากภริยาผู้เสียหายที่จุดนัดหมายอีกแห่งหนึ่งและยังออกติดตามภริยาผู้เสียหายซึ่งกำลังไปรวบรวมเงินอยู่ต่างจังหวัดกันตามรูปคดีเชื่อได้ว่ามีการวางแผนล่วงหน้ากันก่อนเกิดเหตุ โดยให้จำเลยที่ 7 ไปพบผู้เสียหายที่บ้านและอ้างตนว่าเป็นตำรวจหน้าห้อของพันตำรวจเอกชลอเกิดเทศ รองผู้บังคับการกองปราบปราม ให้ผู้เสียหายไปพบจำเลยที่ 7 เพื่อพาเข้าหาพันตำรวจเอกชลอ เพราะผู้เสียหายถูกกล่าวหาว่าจ้างวานฆ่าผู้อื่น แต่ผู้เสียหายไม่ยอมไปพบเพราะไม่ได้ทำผิด และไม่เชื่อว่าจำเลยที่ 7 เป็นตำรวจเมื่อจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 จับผู้เสียหายไปกองปราบปราม จำเลยที่ 7 ก็เข้ามาพบผู้เสียหายรับจะช่วยเหลือเพื่อให้สมอ้างว่าเป็นตำรวจและผู้เสียหายถูกกล่าวหาจริงทั้งที่จำเลยที่ 7 ไม่ได้เป็นตำรวจซึ่งจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ย่อมรู้ดี เมื่อพาผู้เสียหายกับภริยาไปรับประทานอาหารก็ร่วมไปกันทั้งหมดเพื่อให้สมจริง ขณะควบคุมตัวผู้เสียหายไว้ที่โรงแรมจำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 ก็มานอนคุมเฝ้าผู้เสียหาย และเมื่อจำเลยที่ 1 ที่ 5 และที่ 7 นำผู้เสียหายไปตามภริยาผู้เสียหายที่จังหวัดชลบุรีจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 6 ก็ยังคอยเฝ้าภริยาผู้เสียหายอยู่ที่จุดนัดพบที่สถานีขนส่งสายเหนือ จนถูกจับได้พร้อมกันทั้งชุด แสดงว่าร่วมกันกระทำความผิดแต่แบ่งแยกหน้าที่กันทำ จำเลยทุกคนจึงเป็นตัวการ ในการกระทำความผิดด้วยกัน
ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า ปืนพกของกลางวหมายเลขทะเบียน ทก.2310284 พร้อมกระสุนปืนนั้น จำเลยที่ 2 ได้รับอนุญาตให้มีและใช้ และมีใบอนุญาตให้พกได้ตามกฎหมาย ไม่ว่าผลคดีจะเป็นประการใด จะสั่งริบไม่ได้ต้องคืนให้จำเลยที่ 2 เห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกันพวกกระทำความผิดฐานจับคนเรียกค่าไถ่ และถูกจับได้พร้อมอาวุธปืนของกลางขณะไปรอรับเงินค่าไถ่แมัจะยังไม่ได้นำอาวุธปืนออกใช้ยิงหรือขู่เข็ญจะทำร้ายใคร แต่พกติดตัวอยู่ในสภาพที่จะนำออกใช้ได้เมื่อต้องการ แสดงถึงเจตนาที่นำไปใช้ในกิจการที่จำเลยที่ 2 ไปกระทำโดยเฉพาะ ไม่ใช่เพื่อนำไปปฏิบัติหน้าที่ตามใบอนุญาตพกของทางราชการจึงเป็นทรัพย์สินที่ได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(1) ที่ศาลล่างใช้ดุลพินิจสั่งริบจึงชอบด้วยเหตุผลแล้ว
ที่จำเลยที่ 6 ฎีกาว่า ไม่ได้พบอาวุธปืนที่จำเลยที่ 6 จำเลยที่ 6 จึงไม่ได้กระทำความผิดในขอ้หานี้นั้น เห็นว่า ข้อหาตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 6 มีกำหนด 1 ปี 6 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ศาลฎีการับวินิจฉัยให้ไม่ได้
พิพากษายืน

Share