คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2802-2805/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ไม่มีกฎหมายห้ามมิให้รับฟังคำซัดทอดของผู้ที่กระทำความผิดด้วยกันหากศาลเห็นว่าพยานเช่นว่านั้นให้การซัดทอดชอบด้วยเหตุผลพอให้รับฟังว่าเป็นความจริงที่เกิดขึ้นศาลก็มีอำนาจรับฟังคำซัดทอดนั้นประกอบการพิจารณาได้.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335, 357, 83
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 357 จำคุกสำนวนละ 4 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ยกฟ้องจำเลยในข้อหาความผิดฐานรับของโจรด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา ขอให้ลงโทษจำเลยฐานรับของโจรตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติในเบื้องต้นว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้องโจทก์ ได้มีคนร้ายลักเอารถจักรยานยนต์ยี่ห้อยามาฮ่า คันหมายเลขทะเบียน6ฉ-1136 กรุงเทพมหานคร ของบริษัทธนบรรณ จำกัด ซึ่งอยู่ในความครอบครองของนายพรชัยและนายพรเลิศ จรูญพรภักดี ผู้เสียหายรถจักรยานยนต์ยี่ห้อยามาฮ่า คันหมายเลขทะเบียน 7ง-1850กรุงเทพมหานคร ของนายธีระพล ทรัพย์รุ่งโรจน์ ผู้เสียหายรถจักรยานยนต์ยี่ห้อยามาฮ่า คันหมายเลขทะเบียน 2จ-4159กรุงเทพมหานคร ของนายวีระศักดิ์ เลิศวลีรัตน์ ผู้เสียหาย และรถจักรยานยนต์ยี่ห้อคาวาซากิ คันหมายเลขทะเบียน 1ง-9841กรุงเทพมหานครของนายศักดา แซ่ตั้ง ผู้เสียหายไปโดยทุจริตต่อมาวันที่ 23 มีนาคม 2529 เจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามจับกุมจำเลยได้ที่จังหวัดตาก และยึดรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายลักไปดังกล่าว คดีมีปัญหามาสู่การวินิจฉัยของศาลฎีกาว่า จำเลยได้กระทำผิดฐานรับของโจรในคดีทั้งสี่สำนวนตามฟ้องหรือไม่ ข้อนี้โจทก์มีร้อยตำรวจเอกสานิตย์ เตโช ซึ่งเป็นรองสารวัตรจราจรประจำสถานีตำรวจนครบาลบางยี่เรือมาเป็นพยานเบิกความว่า เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2529 พยานได้จับกุมนายวันชัย สกุลทหาร ในข้อหาลักรถจักรยานยนต์ของนายธีระพลทรัพย์รุ่งโรจน์ ผู้เสียหายนายวันชัยสารภาพว่าได้ลักรถของนายธีระพลผู้เสียหายไปจริง นอกจากนี้ยังลักรถจักรยานยนต์อีกหลายคัน รถจักรยานยนต์ที่ลักมาจะนำไปขายให้แก่นายประยูรจำเลยที่อำเภอบ้านตาก จังหวัดตาก พยานจึงให้นายวันชัยพาไปจับกุมจำเลย โดยได้ไปขอความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอบ้านตาก จังหวัดตาก ระหว่างทางที่จะไปบ้านจำเลยพบจำเลยขับรถยนต์กระบะสวนทางมา จึงจับกุมจำเลยนำตัวไปสอบสวนที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอบ้านตาก จำเลยรับว่าได้รับซื้อรถจักรยานยนต์ทุกคันที่นายวันชัย สกุลทหาร นำไปขายให้ และพาพยานไปเอารถจักรยานยนต์ที่รับซื้อไว้จำนวน 7 คันจากป่าช้าวัดดอยมูล รุ่งขึ้นพาไปเอารถจักรยานยนต์ที่รับซื้อจำนวน 3 คันจากป่าแดง และในวันเดียวกันนั้นเองจำเลยพาพยานไปชี้รถจักรยานยนต์ที่รับซื้ออีก 2 คัน ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองตาก โดยบอกว่าเป็นรถที่จำเลยขายให้คนอื่นแต่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจยึดมา พยานจึงได้ควบคุมตัวจำเลยและนำรถจักรยานยนต์ที่ยึดได้จำนวน 12 คัน มามอบให้พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลบางยี่เรือเพื่อดำเนินการต่อไปและร้อยตำรวจตรีนิรันดร์ โรหิตาคนี พยานโจทก์ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลบางยี่เรือเบิกความว่า เมื่อวันที่21 มีนาคม 2529 ร้อยตำรวจเอกสานิตย์ เตโช ได้จับกุมนายวันชัยสกุลทหาร โดยกล่าวหาว่า ลักรถจักรยานยนต์ของผู้อื่น จากการสอบสวนคดีที่นายวันชัยเป็นผู้ต้องหาได้ขยายผลของคดีว่านายวันชัยได้ลักรถจักรยานยนต์หลายคันรวมทั้งรถจักรยานยนต์ของนายวีระศักดิ์ผู้เสียหายด้วยต่อมาวันที่ 23 มีนาคม 2529ร้อยตำรวจเอกสานิตย์ได้ไปจับกุมจำเลยมาจากจังหวัดตากและยึดรถจักรยานยนต์มาเป็นของกลาง 12 คัน ชั้นสอบสวนพยานแจ้งข้อหานายวันชัยกับจำเลยว่าร่วมกันลักทรัพย์หรือรับของโจรนายวันชัยให้การรับสารภาพข้อหาลักทรัพย์โดยให้รายละเอียดว่า หลังจากลักรถไปแล้วได้นำไปขายให้แก่จำเลยส่วนจำเลยให้การรับสารภาพในข้อหารับของโจร พยานได้บันทึกคำให้การของนายวันชัยและจำเลยไว้ตามเอกสารหมาย จ.19 และ จ.20 และพยานได้ทำบันทึกของกลางคดีอาญาว่า จำเลยรับซื้อรถจักรยานยนต์จากนายวันชัยไว้ตามเอกสารหมาย จ.21 นอกจากนี้โจทก์ยังมีร้อยตำรวจตรีรัฐศักดิ์ รักสลาม พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลบางยี่เรือมาเป็นพยานเบิกความยืนยันว่าร้อยตำรวจเอกสานิตย์ เตโช จับกุมนายวันชัย สกุลทหาร ได้เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2529 ชั้นสอบสวนนายวันชัยให้การรับสารภาพว่าได้ลักรถจักรยานยนต์ของนายธีระพลไปเมื่อวันที่ 8 มีนาคม2529 จากการสอบสวนได้ความขยายออกไปว่านายวันชัยได้ลักรถจักรยานยนต์อีกหลายคันในเขตท้องที่บางยี่เรือ เมื่อลักรถแล้วได้นำไปขายให้แก่นายประยูร ดิบดี จำเลยที่จังหวัดตากร้อยตำรวจเอกสานิตย์ได้ควบคุมตัวนายวันชัยไปจังหวัดตาก และจับกุมจำเลยได้พร้อมทั้งยึดรถจักรยานยนต์ของกลางไว้ 12 คันพยานตั้งข้อหานายวันชัย และจำเลยว่าร่วมกันลักทรัพย์หรือรับของโจร นายวันชัยให้การรับสารภาพว่าลักทรัพย์ ส่วนจำเลยให้การรับสารภาพในข้อหารับของโจรทั้งสองครั้ง พยานได้ทำบันทึกคำให้การของจำเลยไว้ตามเอกสารหมาย จ.29 และ จ.30 เห็นว่าร้อยตำรวจเอกสานิตย์ ร้อยตำรวจตรีนิรันดร์ และร้อยตำรวจตรีรัฐศักดิ์พยานโจทก์ทั้งสามเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจนครบาลบางยี่เรือไม่เคยรู้จักกับจำเลยมาก่อน ไม่มีเหตุระแวงสงสัยว่าจะกลั่นแกล้งปรักปรำจำเลย เชื่อว่าพยานโจทก์เหล่านั้นเบิกความตามความจริง เหตุที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมจำเลยซึ่งอยู่ที่จังหวัดตากได้ก็เนื่องจากนายวันชัยคนร้ายที่ลักรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายนำไปขายให้แก่จำเลยที่จังหวัดตากได้ให้การซัดทอดถึงจำเลยว่าเป็นผู้ที่รับซื้อรถจักรยานยนต์จากตน แม้จะเป็นคำซัดทอดของผู้ที่กระทำความผิดด้วยกันก็ตาม ก็ไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายห้ามมิให้รับฟังพยานเช่นว่านั้นแต่อย่างไร หากศาลเห็นว่าพยานาเช่นว่านั้นให้การซัดทอบชอบด้วยเหตุผลพอให้รับฟังว่าเป็นความจริงที่เกิดขึ้นศาลก็มีอำนาจรับฟังคำซัดทอดนั้นประกอบการพิจารณาได้ สำหรับคดีนี้ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมจำเลยได้ จำเลยก็ให้การรับสารภาพว่าได้รับซื้อรถจักรยานยนต์ไว้จากนายวันชัยจริง และยังได้นำเจ้าหน้าที่ตำรวจไปเอารถจักรยานยนต์ที่จำเลยนำไปซุกซ่อนไว้ที่ซึ่งผู้อื่นไม่อาจทราบได้นอกจากจำเลยซึ่งเป็นผู้นำไปซุกซ่อนเท่านั้นที่สามารถนำเจ้าหน้าที่ตำรวจไปเอารถจักรยานยนต์ของกลางได้ ซึ่งข้อนี้ก็ได้ความจากคำเบิกความของพันตำรวจตรีบุญธรรม สิทธิวงษ์ พยานจำเลยซึ่งเป็นสารวัตรปกครองป้องกันประจำสถานีตำรวจภูธรอำเภอบ้านตากว่า วันจับกุมจำเลยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจจากกรุงเทพ ฯ 6-7 คน มาขอความร่วมมือในการจับกุมพยานจึงร่วมไปจับกุมจำเลยด้วย พยานนำไป พบจำเลยจึงแจ้งให้พนักงานสอบสวนที่มาจากกรุงเทพ ฯเข้าจับกุม จากนั้นนำไปที่อู่ซ่อมรถของจำเลยและไปค้นบ้านภริยาจำเลย ต่อมาในช่วงบ่ายได้พากันไปที่ป่าช้าอยู่ในตำบลตากออก อำเภอบ้านตาก พบรถจักรยานยนต์จอดอยู่หลังศาลาในป่าช้า มองจากถนนจะไม่เห็นรถเพราะเป็นป่ารกและเป็นหลังเนินดินกับมีศาลาบังอยู่ จึงได้นำรถส่งสถานีตำรวจภูธรอำเภอบ้านตากวันรุ่งขึ้นไปตรวจยึดรถอีก 3คัน พยานไปด้วย จำเลยก็ไป รถจอดอยู่ในป่าภูเขาลึกจากทางเข้าไปมาก และพันตำรวจตรีอัจฉริยะ แก้วจินดา พยานจำเลยเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำสถานีตำรวจนครบาลบางยี่เรือ ซึ่งร่วมไปกับร้อยตำรวจเอกสานิตย์เพื่อจับกุมจำเลยเบิกความตอบอัยการโจทก์ถามคัดค้านว่าสภาพป่าช้าที่พยานเห็นมีต้นหญ้าขึ้นรก ไม่มีคนสัญจรไปมา ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอบ้านตากพยานสอบถามจำเลยจำเลยให้การรับสารภาพว่าได้รับของโจร ไม่มีการบังคับ คดีมีเหตุมีผลเชื่อว่าจำเลยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนด้วยความสมัครใจตามความสัตย์จริง และนำเจ้าหน้าที่ตำรวจไปเอารถจักรยานยนต์ของกลางที่ซุกซ่อนไว้ได้จำนวน 10 คัน และยังชี้ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจยึดรถจักรยานยนต์ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองตาก อีก 2 คัน พยานโจทก์มีน้ำหนักและหลักฐานมั่นคง พยานจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานโจทก์ได้ คดีฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยได้กระทำผิดฐานรับของโจรตามฟ้องโจทก์ทั้งสี่สำนวนจริงที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องจำเลยในข้อหาความผิดฐานรับของโจรทั้งสี่สำนวนนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ทั้งสี่สำนวนฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีลงโทษจำเลยทั้งสี่สำนวนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์’.

Share