แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 655 กฎหมายยอมให้คิดดอกเบี้ยทบต้นได้เป็นพิเศษ. ทั้งนี้ แม้เมื่อรวมดอกเบี้ยทบต้นเข้าด้วยกันจะทำให้จำนวนดอกเบี้ยเกินร้อยละ15 ต่อปี ก็ไม่ขัดต่อพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2475 มาตรา 3.
ข้อตกลงของจำเลยที่ยอมให้โจทก์ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์คิดดอกเบี้ยทบต้นเป็นรายเดือน โดยโจทก์เรียกดอกเบี้ยอยู่แล้วในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนั้น. เป็นข้อตกลงตามประเพณีการค้าที่คำนวณดอกเบี้ยทบต้นในบัญชีเดินสะพัด จึงใช้ได้ ไม่เป็นโมฆะ.
เมื่อการคิดดอกเบี้ยทบต้นจะกระทำได้เพราะมีประเพณีการค้าเช่น ให้คำนวณดอกเบี้ยทบต้นในบัญชีเดินสะพัด. ถ้าบัญชีเดินสะพัดนั้นมีการหักทอนหนี้และเรียกร้องให้ชำระเงินคงเหลืออันเป็นการเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัด ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 856,859. และลูกหนี้ผิดนัดแล้ว ซึ่งลูกหนี้จะเบิกเงินเกินบัญชีอีกไม่ได้.ย่อมไม่มีเหตุที่ธนาคารจะอ้างมาคิดดอกเบี้ยทบต้นได้ต่อไป.ทั้งมาตรา 224 วรรคสองก็บัญญัติมิให้คิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัด.
ตามปกติการผิดนัดย่อมเกิดขึ้นทันทีที่ลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ตามกำหนดเวลาในสัญญา. แต่กรณีสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีเป็นข้อตกลงของคู่สัญญาที่จะให้มีสัญญาบัญชีเดินสะพัดคือ การเบิกเงินเกินบัญชีในบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของลูกหนี้ในธนาคารขึ้นอีกชั้นหนึ่งเมื่อมีการปฏิบัติตามสัญญาบัญชีเดินสะพัดกันแล้ว. การชำระหนี้ย่อมจะต้องปฏิบัติตามวิธีการของสัญญาบัญชีเดินสะพัด คือ ให้กระทำเมื่อมีการหักทอนบัญชีและเรียกร้องให้ชำระเงินคงเหลือนั้นแล้ว. ฉะนั้น เมื่อครบกำหนดระยะเวลาที่ระบุไว้ในสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีแล้วคู่สัญญายังคงให้บัญชีเดินสะพัดเดินอยู่ต่อไป ก็เห็นได้ว่าคู่สัญญายังไม่ถือว่ามีการผิดนัด.จนกว่าจะได้มีการหักทอนบัญชีและเรียกร้องให้ชำระเงินคงเหลือแล้ว. (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 11-12/2511).
ย่อยาว
คดีทั้ง 2 สำนวนนี้ศาลชั้นต้นสั่งให้ร่วมการพิจารณาพิพากษาไปด้วยกัน สำนวนคดีแรก (คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2477/2506 ของศาลแพ่ง)นายเดือน บุนนาค เป็นโจทก์ฟ้อง นายถวิล ยมกกุล จำเลยที่ 1 และธนาคารเอเชีย จำเลยที่ 2 ขอให้ศาลสั่งเพิกถอนสัญญาจำนองที่ดินโฉนดที่ 4709 ระหว่างโจทก์ กับจำเลยที่ 2 ซึ่งโจทก์อ้างว่าตกเป็นโมฆะ และขอให้จำเลยที่ 2 คืนโฉนดที่ 4709 ให้โจทก์ สำนวนที่ 2 (คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2478/2506 ของศาลแพ่ง)ธนาคารเอเซีย เป็นโจทก์ฟ้อง นายซิวคี้ แซ่โง้ว จำเลยที่ 1นายเดือน บุนนาค จำเลยที่ 2 ว่าจำเลยที่ 1 เปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันไว้กับธนาคารเอเซีย เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2495จำเลยที่ 1 ทำหนังสือกู้เงินเบิกเงินเกินบัญชีจากธนาคารเอเซียเป็นเงิน 150,000 บาท โดยตกลงกันว่าจำเลยที่ 1 จะได้เบิกเงินจากธนาคารเอเซียตามจำนวนและเวลาที่จำเลยที่ 1 ต้องการ จำเลยที่ 1ยอมเสียดอกเบี้ยให้ธนาคารเอเซียในอัตราร้อยละ 12 ต่อปี กำหนดส่งดอกเบี้ยเป็นรายเดือนทุกเดือนเนื่องจากการให้กู้ และการกู้นี้เป็นไปตามประเพณีการค้าของธนาคาร จำเลยที่ 1 สัญญาว่า ถ้าผิดนัดไม่ส่งดอกเบี้ยตามสัญญา จำเลยที่ 1 ยอมให้คิดดอกเบี้ยทบต้น จำเลยที่ 1 ได้นำโฉนดที่ดินเลขที่ 3064 ของนายทองดีพร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างมอบให้ธนาคารเอเซียไว้เป็นประกัน โดยนายทองดีได้ทำหนังสือมอบฉันทะให้โจทก์เพื่อให้โจทก์นำไปทำสัญญาจำนองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวเป็นประกัน ต่อมาจำเลยที่ 1 เบิกเงินเกินบัญชีไปจากโจทก์และบางครั้งจำเลยที่ 1 ก็นำเงินเข้าบัญชีหมุนเวียนยอมชำระให้โจทก์บ้าง เพียงวันที่ 16 พฤศจิกายน 2498 จำเลยที่ 1เป็นหนี้ธนาคารเอเซียโจทก์รวมทั้งต้นเงินและดอกเบี้ย 176,826.84 บาทและในวันที่ 16 พฤศจิกายน นั้น จำเลยที่ 1 ทำหนังสือกู้เงินเบิกเงินเกินบัญชีให้โจทก์อีกฉบับหนึ่งเป็นการรับว่าจำเลยที่ 1เป็นลูกหนี้โจทก์ตามจำนวนดังกล่าว และยอมคิดดอกเบี้ยให้โจทก์ให้โจทก์ในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี และจะผ่อนชำระให้โจทก์ให้หมดสิ้นภายในวันที่ 15 พฤษภาคม 2499 และได้กำหนดวิธีการชำระดอกเบี้ยทบต้นและหลักประกันการชำระหนี้ตามสัญญาเดิม ต่อมานายทองดีมีหนังสือถึงโจทก์ขอโฉนดเลขที่ 3064 คืน โดยจะนำโฉนดเลขที่ 4709 ของจำเลยที่ 2 มาเปลี่ยนเพื่อให้ทำจำนองค้ำประกันหนี้สินของจำเลยที่ 1แทนโฉนดที่ดินของนายทองดีโจทก์ยินยอม จำเลยที่ 1 และนายทองดีจึงนำโฉนดเลขที่ 4709 ของจำเลยที่ 2 พร้อมทั้งหนังสือมอบอำนาจของจำเลยที่ 2 เพื่อให้ทำจำนองที่ดินพร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างกับโจทก์จำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระเงินต้นและดอกเบี้ยให้โจทก์ วันที่ 30เมษายน 2501 โดยปกติธุรกิจและเป็นไปตามประเพณีการค้าของธนาคารโจทก์จึงได้จดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 4709 พร้อมทั้งสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 2 ตามที่ตกลงกันเพื่อเป็นประกันหนี้ที่จำเลยที่ 1 ค้างชำระต่อโจทก์เป็นเงิน 176,826.84 บาท จำเลยที่ 2 ยอมเสียดอกเบี้ยให้โจทก์ในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี กำหนดส่งดอกเบี้ยเป็นรายเดือนทุกเดือน และยอมให้คิดดอกเบี้ยทบต้นด้วย ต่อมาจำเลยที่ 1ไม่ชำระหนี้ โจทก์แจ้งให้จำเลยที่ 2 ทราบ และบอกกล่าวบังคับจำนองให้จำเลยที่ 2 ชำระหนี้ จำเลยทั้งสองก็ไม่ชำระหนี้ เมื่อคำนวณหนี้ที่จำเลยที่ 1 จะต้องชำระให้โจทก์ตามวิธีการคิดดอกเบี้ยทบต้นเป็นรายเดือนตามประเพณีของธนาคารในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีแล้วจำเลยที่ 1 ค้างชำระตั้งแต่วันที่ 18 มิถุนายน 2501 จนถึงวันฟ้องจำเลยทั้งสองคงเป็นหนี้และต้องชำระให้โจทก์รวมทั้งสิ้น 273,790.92บาท จึงขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ชำระเงิน 273,790.97 บาท พร้อมดอกเบี้ยในต้นเงินดังกล่าว ในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จโดยคิดดอกเบี้ยทบต้นเป็นรายเดือนตามประเพณีการค้าของโจทก์ และตามสัญญาให้โจทก์ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่ชำระก็ให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินให้โจทก์เป็นการไถ่ถอนการจำนองที่ดินตามฟ้อง ฯลฯ นายซิวคี้ แซ่โง้ว จำเลยที่ 1 และนายเดือน บุนนาค จำเลยที่ 2ให้การว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์เพียง 28,973 บาท ไม่ต้องรับผิดเสียดอกเบี้ยถึงวันที่ 16 พฤศจิกายน 2498 เป็นเงินรวมถึง 176,826.84บาท จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดเสียดอกเบี้ยเฉพาะจำนวนเงินที่เบิกไปร้อยละ 12 ต่อปี ถึงวันที่ 16 พฤศจิกายน 2498 เป็นเงินเพียง31,539 บาท โจทก์จะคิดดอกเบี้ยทบต้นไม่ได้ ข้อตกลงฝ่าฝืนกฎหมายสัญญาลงวันที่ 16 พฤศจิกายน 2498 เป็นสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีเช่นเดียวกับสัญญาฉบับลงวันที่ 11 กรกฎาคม 2495 ซึ่งต้องถือตามบัญชีเดินสะพัดระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ไม่ใช่ถือตามจำนวนที่ระบุไว้ในสัญญา ส่วนดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ก็คิดทบต้นไม่ได้ จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดตามบัญชีเดินสะพัดฉบับลงวันที่ 16พฤศจิกายน 2498 ถึงวันที่ 18 มิถุนายน 2501 เป็นเงินเพียง 68,073.03บาท ส่วนดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ 18 มิถุนายน 2501 เป็นเงินเพียง68,073.03 บาท ส่วนดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ 18 มิถุนายน 2501 จนถึงวันฟ้องโจทก์ได้นำดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยมาคำนวณ เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 1 ไม่เคยรับสภาพหนี้ ไม่เคยนำโฉนดเลขที่ 4709ของจำเลยที่ 2 ไปมอบให้โจทก์ทำจำนองประกันการเบิกเงินเกินบัญชีจำเลยที่ 2 ไม่เคยค้ากับโจทก์ ไม่เคยมอบอำนาจให้นายถวิลไปทำการจำนองที่ดินโฉนดที่ 4709 ของจำเลยที่ 2 สัญญาจำนองเป็นโมฆะ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้นายซิวคี้หรือคี้ แซ่โง้ว ชำระเงิน273,790.97 บาท พร้อมดอกเบี้ยในเงินต้นดังกล่าวในอัตราร้อยละ15 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (17 ธันวาคม 2501) จนกว่าจะชำระเสร็จโดยคิดดอกเบี้ยทบต้นเป็นรายเดือนตามประเพณีการค้าของธนาคารและตามสัญญาแก่ธนาคารเอเซียฯ ถ้านายซิวคี้ไม่ชำระก็ให้นายเดือนบุนนาค จำเลยชำระเงินดังกล่าวแก่ธนาคารเอเซียฯ เป็นเงิน 176,826.84บาท ตามสัญญาจำนอง ล.17 และ ล.18 พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ15 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าว ตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จโดยคิดดอกเบี้ยทบต้นเป็นรายเดือนตามประเพณีการค้าของธนาคารอันเป็นการไถ่ถอนการจำนองตามฟ้อง ถ้านายเดือนจำเลยที่ 2 ไม่ชำระก็ให้ยึดทรัพย์สินที่จำนองขายทอดตลาดชำระหนี้ให้ธนาคารจนครบจำนวนตามที่นายเดือนจะต้องรับผิด ให้ยกฟ้องนายเดือน บุนนาค ในคดีดำที่ 3223/2501 (หมายถึงคดีแพ่งแดงที่ 2477/2506 ของศาลแพ่ง) เสีย นายเดือน บุนนาค ในฐานะเป็นโจทก์และจำเลย และนายซิวคี้จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน นายเดือน บุนนาค ในฐานะเป็นโจทก์และในฐานะเป็นจำเลยกับนายซิวคี้จำเลยฎีกา ศาลฎีกาเชื่อว่านายเดือนจำเลยมอบโฉนดเลขที่ 4709 พร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างและหนังสือมอบฉันทะของนายเดือนให้ธนาคารยึดถือไว้เป็นประกันนั้นเป็นการมอบโดยตกลงยินยอมให้ธนาคารเอเซียฯนำไปทำสัญญาจำนองได้ ฉะนั้นสัญญาจำนองหมาย ล.17 และ ล.18 จึงเป็นสัญญาที่ชอบด้วยกฎหมาย ใช้บังคับได้และฟังว่า รายการเช็คสั่งจ่ายเงินของนายซิวคี้ในบัญชีกระแสรายวัน หมาย ล.1 รวม 19 ฉบับนั้นถูกต้องและนายซิวคี้ได้ออกเช็คเหล่านั้นจริง ฎีกาของนายซิวคี้และนายเดือน ฟังไม่ขึ้น นายเดือนและนายซิวคี้ฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า ธนาคารเอเซียจะเรียกดอกเบี้ยทบต้นจากนายซิวคี้ไม่ได้ ข้อสัญญาที่ยอมให้ธนาคารคิดดอกเบี้ยทบต้น เป็นข้อสัญญาที่ขัดต่อพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 มาตรา 3 ข้อตกลงดังกล่าวตกเป็นโมฆะใช้บังคับไม่ได้ ที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกาเห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 655 ในกรณีเกี่ยวกับประเพณีการค้าที่คำนวณดอกเบี้ยทบต้นในบัญชีเดินสะพัดหรือในการค้าอย่างอื่นทำนองเดียวกัน กฎหมายยอมให้คิดดอกเบี้ยทบต้นได้เป็นพิเศษ ทั้งนี้ แม้เมื่อคิดดอกเบี้ยทบต้นรวมเข้าด้วยแล้ว จะทำให้จำนวนดอกเบี้ยเกินร้อยละ 15 ต่อปี ก็ไม่ขัดต่อพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 มาตรา 3ข้อตกลงของนายซิวคี้ที่ยอมให้ธนาคารเอเซียฯ คิดดอกเบี้ยทบต้นเป็นรายเดือนโดยธนาคารเรียกดอกเบี้ยอยู่แล้วในอัตราร้อยละ 15ต่อปีนั้น ก็เป็นข้อตกลงตามประเพณีการค้าที่คำนวณดอกเบี้ยทบต้นในบัญชีเดินสะพัดจึงใช้ได้ไม่เป็นโมฆะ แต่ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อการคิดดอกเบี้ยทบต้นจะกระทำได้ เพราะมีประเพณีการค้าขายเช่น ให้คำนวณดอกเบี้ยทบต้นในบัญชีเดินสะพัด ถ้าบัญชีเดินสะพัดนั้นมีการหักทอนหนี้และเรียกร้องให้ชำระเงินคงเหลืออันเป็นการเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัดตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 856, 859 และลูกหนี้ผิดนัดแล้ว ซึ่งลูกหนี้จะเบิกเงินเกินบัญชีอีกไม่ได้ ย่อมไม่มีเหตุที่ธนาคารจะอ้างมาคิดดอกเบี้ยทบต้นได้ต่อไป ทั้งมาตรา 224 วรรค 2 ก็บัญญัติมิให้คิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัด ศาลฎีกาเห็นว่า ตามปกติการผิดนัดย่อมเกิดขึ้นทันทีที่ลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ตามกำหนดเวลาในสัญญา แต่กรณีสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีเป็นข้อตกลงของคู่สัญญาที่จะให้มีสัญญาบัญชีเดินสะพัด คือการเบิกเงินเกินบัญชีในบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของลูกหนี้ในธนาคารขึ้นอีกชั้นหนึ่ง เมื่อมีการปฏิบัติตามสัญญาบัญชีเดินสะพัดกันแล้วการชำระหนี้ย่อมจะต้องปฏิบัติตามวิธีการของสัญญาบัญชีเดินสะพัดคือให้กระทำเมื่อมีการหักทอนบัญชีและเรียกร้องให้ชำระเงินคงเหลือนั้นแล้ว ฉะนั้น เมื่อครบกำหนดระยะเวลาที่ระบุไว้ในสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีแล้ว คู่สัญญายังคงให้บัญชีเดินสะพัดเดินอยู่ต่อไปก็เห็นได้ว่าคู่สัญญายังไม่ถือว่ามีการผิดนัด จนกว่าจะได้มีการหักทอนบัญชีและเรียกร้องให้ชำระเงินคงเหลือแล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าได้มีการเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัดและนายซิวคี้ผิดนัดไม่ชำระหนี้ในจำนวนเงินคงเหลือในวันที่ 30 กันยายน 2499 กับดอกเบี้ยทบต้นในวันที่ 31 ตุลาคม 2499 อีกเดือนหนึ่งรวมเป็นจำนวนเงิน203,977.63 บาท ฉะนั้น ตามมติที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาดังกล่าวข้างต้นธนาคารเอเซียฯ จะคิดดอกเบี้ยทบต้นในเงินจำนวน 203,977.63 บาทต่อไปไม่ได้ นายซิวคี้คงต้องรับผิดชอบชำระต้นเงินจำนวน 203,977.63บาท กับดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน2499 เป็นต้นไป สำหรับนายเดือนปรากฏว่านายถวิลได้นำใบมอบอำนาจของนายเดือนไปทำสัญญาจำนองหมาย ล.17 และ ล.18 ค้ำประกันนายซิวคี้ต่อธนาคารเอเซียฯ สำหรับหนี้ต้นเงินจำนวน 176,826.80 บาท เมื่อวันที่30 เมษายน 2501 ฉะนั้นเมื่อธนาคารเอเซียจะคิดดอกเบี้ยทบต้นแก่นายซิวคี้ไม่ได้ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2499 ดังได้วินิจฉัยมาแล้วธนาคารเอเซียฯ ย่อมไม่มีโอกาสคิดดอกเบี้ยทบต้นในหนี้จำนองจำนวน176,826.80 บาท นั้นจากนายเดือนได้เลย นายเดือนคงต้องรับผิดชอบเฉพาะหนี้จำนองจำนวน 176,826.80 บาท กับดอกเบี้ยร้อยละสิบห้าต่อปีตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน 2501 เป็นต้นไป จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เป็นว่า ให้นายซิวคี้หรือคี้ แซ่โง้ว ชำระเงินจำนวน 203,977.63 บาทแก่ธนาคารเอเซียฯพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2499จนกว่าจะชำระเสร็จ ทั้งนี้ ให้ถือว่าเงินที่ส่งเข้าบัญชีเงินฝากของนายซิวคี้ภายหลังวันที่ 4 พฤศจิกายน 2499 เป็นการชำระหนี้แก่ธนาคารเอเซียฯ ส่วนหนึ่ง ถ้านายซิวคี้ไม่ชำระหนี้ดังกล่าวให้นายเดือน บุนนาค รับผิดชอบชำระเงินแก่ธนาคารเอเซียฯ เป็นจำนวนไม่เกิน 176,826.84 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีในจำนวนเงินที่ต้องรับผิดตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน 2501 จนกว่าจะชำระเสร็จ อันเป็นการไถ่ถอนจำนอง ถ้านายเดือนไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองขายทอดตลาดชำระหนี้.