คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4291-4292/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นขณะเกิดเหตุแต่โจทก์มีคำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนของจำเลยทั้งสามประกอบกับคำเบิกความของพนักงานสอบสวนแสดงรายละเอียดการกระทำความผิดตั้งแต่ตอนจำเลยที่1ทาบทามว่าจ้างจำเลยที่2และที่3ให้ฆ่าผู้ตายซึ่งเป็นภรรยาจำเลยที่1ประชุมวางแผนลงมือฆ่าปลดเอาสร้อยข้อมือของผู้ตายกับแสร้งเอาสร้อยคอของจำเลยที่1ไปซ่อนแล้วจำเลยที่1ใช้เศษไม้ขูดคอตนเองให้เป็นรอยเพื่อแสร้งทำว่าถูกคนร้ายตีและจำเลยทั้งสามได้แสดงแผนประทุษกรรมประกอบคำรับสารภาพทั้งจำเลยที่1ที่2ได้ขอขมาศพผู้ตายกับบิดาผู้ตายแสดงถึงความสำนึกผิดและจำเลยที่1ได้พาพนักงานสอบสวนไปเอาสร้อยข้อมือผู้ตายกับสร้อยคอของตนตรงที่ซ่อนไว้ส่วนจำเลยที่2ได้พาพนักงานสอบสวนไปเอาเหล็กขูดชาพท์ซึ่งใช้แทงผู้ตายที่ทิ้งไว้ขณะวิ่งหนีกับได้พบมีดปลายแหลมที่จำเลยที่3ใช้แทงผู้ตายแล้วทิ้งไว้ตรงตามสถานที่ที่ระบุไว้ในคำให้การและจำเลยที่2ได้พาพนักงานสอบสวนไปพบ อ. ที่ต่างจังหวัดให้นำไปยึดเอาสร้อยคอที่ร้านขายทองคืนมาด้วยนอกจากนี้โจทก์ยังมีคำให้การชั้นสอบสวนของ น.ร.กับ อ. ยืนยันว่าจำเลยที่2ที่3เป็นผู้ขอให้ น. นำสร้อยคอของกลางไปขายตรงตามคำให้การของจำเลยที่2ที่3พยานโจทก์จึงฟังได้ว่าจำเลยที่1วานให้จำเลยที่2ที่3ร่วมกันพาอาวุธไปฆ่าผู้ตายและลักทรัพย์ตามฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ใช้จ้างวานให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 ร่วมกันพาอาวุธไปฆ่าและไตร่ตรองไว้ก่อน เป็นเหตุให้นาง อลิศรา ศิริสุรวุฒิ ภรรยาของจำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตาย แล้วจำเลยที่ 2 ที่ 3 ร่วมกันลักสร้อยคอและสร้อยข้อมือทองคำของผู้ตายไปขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289, 84, 83, 335, 371, 91ริบของกลาง
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องสำนวนหลังแล้วเห็นว่าคดีมีมูลให้ประทับฟ้องไว้พิจารณาเฉพาะข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289(4), 84 วรรคสอง วางโทษประหารชีวิต จำเลยที่ 2มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4), 335(1)(7), 371เรียงกระทงลงโทษ ฐานฆ่าผู้อื่น โดยไตร่ตรองไว้ก่อน วางโทษประหารชีวิต ฐานลักทรัพย์ จำคุก 2 ปี และฐานพาอาวุธปรับ 90 บาทจำเลยที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4), 371เรียงกระทงลงโทษ ฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน วางโทษประหารชีวิต ฐานพาอาวุธ ปรับ 90 บาท ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบด้วย มาตรา 52(1) คงจำคุกจำเลยที่ 1ตลอดชีวิต จำคุกจำเลยที่ 2 กระทงแรกตลอดชีวิต กระทงที่สองจำคุก1 ปี 4 เดือน กระทงที่สามปรับ 60 บาท จำคุกจำเลยที่ 3 กระทงแรกตลอดชีวิต กระทงที่สองปรับ 60 บาท รวมแล้วคงจำคุกจำเลยที่ 2 ที่ 3ตลอดชีวิตสถานเดียว ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91(3) ริบของกลางคำของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ความผิดฐานลักทรัพย์และพาอาวุธตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1)(7), 371 ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ลงโทษจำเลยที่ 2 จำคุก 1 ปี4 เดือน และปรับ 60 บาท ตามลำดับ และลงโทษจำเลยที่ 3 ฐานพาอาวุธให้ปรับ 60 บาท ที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ฎีกาว่ามิได้กระทำความผิดใน 2 ข้อหานี้ด้วยอันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งรับฎีกาใน 2 ข้อหานี้ด้วย ก็เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยใน 2 ข้อหาดังกล่าว
สำหรับความผิดต่อชีวิตข้อเท็จจริงเบื้องต้นศาลฎีกาฟังว่าในวันเวลาเกิดเหตุตามฟ้องมีคนร้ายร่วมกันใช้เหล็กขูดชาฟท์และมีดปลายแหลมเป็นอาวุธแทงทำร้ายร่างกายผู้ตายรวม 26 แผลจนถึงแก่ความตาย และลักเอาสร้อยคอทองคำของผู้ตายไปด้วย ปัญหามีว่าจำเลยทั้งสามได้กระทำผิดฐานเป็นผู้ใช้และร่วมกันฆ่าผู้ตายตามที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาหรือไม่ และวินิจฉัยว่าคดีนี้แม้โจทก์และโจทก์ร่วมจะไม่มีประจักษ์พยาน แต่โจทก์ก็มีบันทึกคำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนของจำเลยทั้งสามมาเป็นพยาน และมีพันตำรวจโท เฉลิม ขาวปลื้ม พนักงานสอบสวนเบิกความยืนยัน โดยจำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนว่า เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2531 จำเลยที่ 1 ได้พูดขอให้จำเลยที่ 2 และ 3 ฆ่าผู้ตายเพราะจำเลยที่ 1กับผู้ตายซึ่งเป็นสามีภริยากันมีเรื่องทะเลาะกันบ่อยรู้สึกเบื่อหน่าย กำหนดให้ลงมือในวันที่ 15 มกราคม 2531 เวลา 21 นาฬิกาให้คนทั้งสองไปคอยที่หน้าบ้าน ให้จำเลยที่ 3 เป็นคนตีจำเลยที่ 1ให้จำเลยที่ 2 แทงผู้ตาย แล้วให้เอาสร้อยคอ สร้อยข้อมือของผู้ตายกับสร้อยคอของจำเลยที่ 1 ไป โดยจำเลยที่ 1 จะไปแจ้งความว่าถูกคนร้ายชิงทรัพย์และฆ่าผู้ตาย ตกลงให้สร้อยทองดังกล่าวเป็นค่าจ้าง ครั้นเมื่อถึงวันนัดเวลาประมาณ 20 นาฬิกา จำเลยที่ 1ได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ไปบอกคนทั้งสองให้ลงมือได้ โดยให้ไปรอที่หน้าบ้าน จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงพากันไปคอยที่ซอยห่างบ้านบิดาจำเลยที่ 1 ประมาณ 20 เมตร จนเวลา 21 นาฬิกาเศษ จำเลยที่ 1ขับขี่รถจักรยานยนต์ให้ผู้ตายนั่งซ้อนท้ายออกจากบ้านตรงมาที่จุดนัดพบ จำเลยที่ 1 ดับเครื่องรถพูดทักทายคนทั้งสอง แล้วจำเลยที่ 2 ได้เข้ารัดคอผู้ตายลงจากรถใช้เหล็กขูดชาฟท์แทงผู้ตาย โดยมีจำเลยที่ 3 ใช้มีดปลายแหลมช่วยแทงคนละหลายที และจำเลยที่ 3ได้กระชากเอาสร้อยคอของผู้ตายด้วย แล้วจำเลยที่ 2 และที่ 3ได้พากันวิ่งหลบหนี จำเลยที่ 1 เห็นว่าคนทั้งสองมิได้ตีจำเลยที่ 1และเอาสร้อยข้อมือของผู้ตายกับสร้อยคอของจำเลยที่ 1 ไปด้วยตามแผนที่ตกลงกันไว้ จำเลยที่ 1 จึงปลดเอาสร้อยข้อมือของผู้ตายกับสร้อยคอของตนเองไปซ่อนไว้ที่ใต้ต้นเข็มริมรั้วบ้านของบิดาและเอาเศษไม้บริเวณนั้นมาขูดที่ต้นคอให้เป็นรอยแสดงว่าถูกคนร้ายตีแล้วจำเลยที่ 1 ได้เรียกน้องสาวให้ไปตามบิดาบอกว่าถูกคนร้ายชิงทรัพย์และตี สำหรับจำเลยที่ 1 เมื่อวิ่งหนีไปได้ 100 เมตรได้ทิ้งมีดปลายแหลมที่ใช้แทงผู้ตายในระหว่างทาง ส่วนจำเลยที่ 2ได้ทิ้งเหล็กขูดชาฟท์ดังกล่าวเมื่อวิ่งหนีไปถึงป่ามันสำปะหลังวันรุ่งขึ้นจำเลยที่ 2 และที่ 3 พากันหลบหนีไปอำเภอเมืองนครราชสีมา ไปหานางสาว น้ำอ้อย ขอกดสำโรง คนรู้จักกันขอให้นำสร้อยคอดังกล่าวไปขาย นำเงินมาแบ่งกัน แล้วแยกกันไป โดยจำเลยที่ 2 กลับมาทำงานที่ร้านสุริยนต์การช่างตามเดิม ส่วนจำเลยที่ 3 กลับไปหาภริยาที่จังหวัดขอนแก่น จะเห็นได้ว่าตามบันทึกคำให้การรับสารภาพของจำเลยทั้งสามดังกล่าวมีรายละเอียดตั้งแต่จำเลยที่ 1 ทาบทามจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นเพื่อนให้ฆ่าผู้ตาย ตอนแรกจำเลยที่ 2 ก็ห้ามปรามให้จำเลยที่ 1 หาวิธีอื่นดีกว่า แต่จำเลยที่ 1 ยืนยัน จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงได้ทำตามที่จำเลยที่ 1 ขอร้องเพราะความรักเพื่อน นอกจากบันทึกคำให้การรับสารภาพดังกล่าวแล้ว จำเลยทั้งสามยังได้แสดงแผนประทุษกรรมประกอบคำรับสารภาพทั้งจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ขอขมาศพผู้ตายซึ่งตั้งอยู่ที่วัดขณะทำพิธีศพ กับได้ขอขมาบิดาผู้ตายให้พนักงานสอบสวนถ่ายภาพไว้ อันแสดงถึงความสำนึกผิด นอกจากนี้จำเลยที่ 1ยังได้พาพนักงานสอบสวนไปเอาสร้อยคอกับสร้อยข้อมือที่ใต้ต้นเข็มริมรั้วบ้านของบิดา ซึ่งก็พบสร้อย 2 เส้นดังกล่าวตรงตามที่ให้การไว้ ส่วนจำเลยที่ 2 ได้พาไปเอาเหล็กขูดชาฟท์ที่ทิ้งไว้ก็พบอยู่ที่ป่ามันสำปะหลังจริง และจำเลยที่ 2 ยังได้พาพนักงานสอบสวนไปพบนางสาว น้ำอ้อย ที่จังหวัดนครราชสีมาให้พาไปยึดเอาสร้อยคอที่นำไปขายไว้ที่ร้านขายทอง ฉัตรฟ้า มาได้จริง สำหรับมีดปลายแหลมของกลางพนักงานสอบสวนตรวจพบตกอยู่ที่ซอยห่างที่เกิดเหตุประมาณ 100 เมตร ตรงตามที่จำเลยที่ 3 ให้การว่าได้ทิ้งไว้หลังเกิดเหตุจริงอีกเช่นกัน ทั้งเหล็กขูดชาฟท์และมีดปลายแหลมของกลางตรวจแล้วพบคราบโลหิตมนุษย์ติดอยู่ด้วย ตรงตามที่จำเลยทั้งสามให้การว่าได้ใช้อาวุธดังกล่าวแทงผู้ตาย และโจทก์มีบันทึกคำให้การในชั้นสอบสวนของนางสาว น้ำอ้อย ขอกดสำโรง นางสาว รุจิราพร ศรีบุญช่วย กับนางสาวอรทัย วิริยะกุลนันท์ เจ้าของร้านขายทอง ฉัตรฟ้า มาสนับสนุน ซึ่งตามบันทึกคำให้การได้ความว่า จำเลยที่ 2และที่ 3 เป็นผู้ขอให้นางสาว น้ำอ้อย นำสร้อยคอของกลางไปขายตรงตามที่จำเลยที่ 2 กับที่ 3 ให้การ ทำให้เชื่อได้ว่าข้อเท็จจริงเป็นดังที่จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพไว้ ข้อนำสืบของจำเลยทั้งสามไม่น่าเชื่อถือ ที่จำเลยทั้งสามฎีกาว่า จำเลยที่ 2ถูกจับและถูกควบคุมตัวตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุคดีนี้ แล้วจำเลยที่ 2จะไปทำผิดคดีนี้ได้อย่างไรนั้น จากทางนำสืบของโจทก์และจำเลยที่ 2ฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 เพิ่งถูกจับหลังเกิดเหตุคดีนี้ 3 วัน มิใช่ถูกจับและถูกควบคุมตัวก่อนเกิดเหตุดังจำเลยทั้งสามกล่าวอ้างข้อโต้แย้งนี้จึงฟังไม่ขึ้น คดีฟังได้ว่าจำเลยทั้งสามได้กระทำผิดดังที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษา
พิพากษายืน

Share