คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 284-285/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องโจทก์บรรยายถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำผิดแยกกันมาฐานฉ้อโกงตามคำบรรยายฟ้องโจทก์ข้อก.เมื่อจะมีข้อความว่าจำเลยทั้งสองกับพวกไม่สามารถจัดให้ผู้เสียหายทั้งสี่ได้ทำงานในต่างประเทศตามที่จำเลยทั้งสองกับพวกกล่าวอ้างแต่ก็ไม่มีข้อความใดที่แสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองกับพวกไม่มีเจตนาประกอบธุรกิจจัดหางานตามที่บรรยายไว้ในข้อข.การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นความผิดฐานจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตตามฟ้อง หลังจากศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาแล้วจำเลยทั้งสองยื่นฎีกาในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาเนื่องจากคดีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจำเลยที่2อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกาคดีข้อหาร่วมกันฉ้อโกงอยู่ในระหว่างอุทธรณ์คำสั่งต่อมาโจทก์ยื่นคำแถลงว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้เงินแก่ผู้เสียหายทั้งสี่จึงขอถอนคำร้องทุกข์ความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา341เป็นความผิดอันยอมความได้เมื่อผู้เสียหายทั้งสี่ถอนคำร้องทุกข์สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา39(2)

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 341 พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มาตรา 30, 82 และขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้เงินจำนวน 80,000 บาทแก่ผู้เสียหายทั้งสี่
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 83 และพระราชบัญญัติจัดทำงานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มาตรา 30 วรรคหนึ่งให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91ฐานฉ้อโกง จำคุกคนละ 1 ปี ฐานจัดหางานให้คนหางานเพื่อไปทำงานต่างประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกคนละ 3 ปีรวมจำคุกคนละ 4 ปี และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้เงินแก่ผู้เสียหายคนละ 20,000 บาท
จำเลยทั้งสองสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาความผิดต่อพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางานพ.ศ. 2528 คงจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 1 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ ทั้ง สอง สำนวน ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่พิเคราะห์แล้ว ตามฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวนบรรยายถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำความผิดทั้งสองฐานแยกกันมาโดยฐานฉ้อโกง โจทก์บรรยายในข้อ ก. ว่าจำเลยทั้งสองกับพวกได้บังอาจร่วมกันหลอกลวงผู้เสียหายทั้งสี่ว่า จำเลยทั้งสองกับพวกสามารถจัดส่งผู้เสียหายทั้งสี่ไปทำงานยังประเทศสิงคโปร์ได้อันเป็นเท็จความจริงแล้วจำเลยทั้งสองกับพวกไม่สามารถจัดส่งผู้เสียหายทั้งสี่ไปทำงานที่ประเทศสิงคโปร์ได้จำเลยทั้งสองกับพวกแสดงข้อความอันเป็นเท็จดังกล่าวเพื่อหลอกลวงผู้เสียหายทั้งสี่ให้มอบเงินค่าติดต่อจัดหางานค่าเดินทาง และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ แก่จำเลยทั้งสองกับพวกและโดยการหลอกลวงของจำเลยทั้งสองกับพวกเป็นเหตุให้ผู้เสียหายทั้งสี่หลงเชื่อว่าจำเลยทั้งสองกับพวกสามารถจัดหางานให้ผู้เสียหายทั้งสี่ทำในประเทศสิงคโปร์ได้ ผู้เสียหายทั้งสี่จึงมอบเงินค่าบริการและค่าใช้จ่ายจำนวนคนละ 20,000 บาทให้แก่จำเลยทั้งสองกับพวกไป และฐานจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตโจทก์บรรยายฟ้องในข้อ ข. ว่า จำเลยทั้งสองกับพวกบังอาจร่วมกันประกอบธุรกิจจัดหางานให้แก่คนงานเพื่อไปทำงานต่างประเทศ และจำเลยทั้งสองกับพวกได้ร่วมกันจัดหางานให้แก่ผู้เสียหายทั้งสี่ ซึ่งเป็นคนหางานเพื่อไปทำงานที่ประเทศสิงคโปร์ โดยจำเลยทั้งสองกับพวกเรียกและรับค่าบริการเป็นเงินตอบแทนจากผู้เสียหายทั้งสี่คนละ 20,000 บาท โดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนจัดหางานกลาง เห็นว่า ตามคำบรรยายฟ้องโจทก์ข้อ ก. แม้จะมีข้อความว่าจำเลยทั้งสองกับพวกไม่สามารถจัดให้ผู้เสียหายทั้งสี่ได้ทำงานในต่างประเทศตามที่จำเลยทั้งสองกับพวกกล่าวอ้าง แต่ก็ไม่มีข้อความใดที่แสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองกับพวกไม่มีเจตนาประกอบธุรกิจจัดหางานตามที่บรรยายไว้ในข้อ ข. การกระทำของจำเลยทั้งสองตามฟ้องจึงเป็นความผิดฐานจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหาความผิดต่อพระราชบัญญัติ จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 นั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
อนึ่ง คดีนี้หลังจากศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำพิพากษาแล้วจำเลยทั้งสองยื่นฎีกาในข้อหาร่วมกันฉ้อโกง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาเนื่องจากคดีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จำเลยที่ 2ได้อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกา คดีข้อหาร่วมกันฉ้อโกงอยู่ในระหว่างอุทธรณ์คำสั่ง ต่อมา วันที่ 25 พฤษภาคม 2537โจทก์ยื่นคำแถลงว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้เงินแก่ผู้เสียหายทั้งสี่ จึงขอถอนคำร้องทุกข์ความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 เป็นความผิดอันยอมความได้เมื่อผู้เสียหายทั้งสี่ถอนคำร้องทุกข์ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2)
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติ จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528มาตรา 30 วรรคหนึ่ง มาตรา 82 จำคุกคนละ 3 ปี ปรับคนละ60,000 บาท ปรากฏตามคำแถลงของโจทก์ว่า ผู้เสียหายทั้งสี่ได้รับเงินคืนจนเป็นที่พอใจแล้ว และผู้เสียหายทั้งสี่ได้ถอนคำร้องทุกข์ในข้อหาฉ้อโกง จึงเป็นกรณีที่จำเลยทั้งสองรู้สึกความผิดและพยายามบรรเทาผลร้ายแห่งความผิดนั้น อันเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้จำเลยทั้งสองคนละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 จำคุก คนละ 2 ปี ปรับคนละ40,000 บาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองเคยรับโทษจำคุกมาก่อนจึงเห็นสมควรให้โอกาสจำเลยทั้งสองกลับตัวเป็นพลเมืองดีโดยการรอการลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองให้มีกำหนดคนละ 2 ปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 คำขออื่นให้ยก และให้จำหน่ายคดีสำหรับความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341

Share