คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4673/2562

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้คัดค้านที่ 3 เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งได้ดำเนินการบังคับคดียึดทรัพย์จำนองที่ศาลมีคำสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดินเพื่อบังคับตามคำพิพากษาแล้ว จึงเป็นผู้รับประโยชน์ในทรัพย์สินที่ผู้ร้องร้องขอให้ตกเป็นของแผ่นดิน ในฐานะผู้รับจำนองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวไว้โดยสุจริตและมีค่าตอบแทนมีสิทธิยื่นคำร้องขอคุ้มครองสิทธิของตนได้ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 50
ผู้คัดค้านที่ 3 ยื่นคำร้องขอคุ้มครองสิทธิเข้ามาในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา แม้เป็นการยื่นเข้ามาก่อนคำสั่งศาลให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินถึงที่สุด ก็ต้องถือเป็นการใช้สิทธิยื่นคำร้องตามมาตรา 53 ผู้คัดค้านที่ 3 ต้องพิสูจน์ว่าตนไม่สามารถยื่นคำร้องได้ก่อนศาลชั้นต้นมีคำสั่งตามมาตรา 50 เพราะไม่ทราบถึงประกาศของศาลและหนังสือแจ้งของเลขาธิการหรือมีเหตุขัดข้องอันสมควรประการอื่น

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาให้ทรัพย์สินหลายรายการของผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 รวมทั้งที่ดินโฉนดเลขที่ 204989 พร้อมสิ่งปลูกสร้างของผู้คัดค้านที่ 1 ตกเป็นของแผ่นดิน ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ฎีกา คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ผู้คัดค้านที่ 3 ยื่นคำร้องขอคุ้มครองสิทธิของตนอ้างว่าเป็นผู้รับประโยชน์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 204989 พร้อมสิ่งปลูกสร้างที่ศาลมีคำสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดิน โดยอ้างว่าผู้คัดค้านที่ 3 รับจดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 204989 พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันหนี้เงินกู้ที่ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ทำสัญญากู้ยืมเงินไปจากผู้คัดค้านที่ 3 แล้วไม่ชำระ โดยผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ไม่แจ้งให้ผู้คัดค้านที่ 3 ทราบว่าถูกฟ้องขอให้ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน ทั้งผู้คัดค้านที่ 3 ไม่เคยเห็นประกาศและไม่เคยได้รับแจ้งว่าผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน ผู้คัดค้านที่ 3 จึงไม่อาจยื่นคำร้องขอคุ้มครองสิทธิของตนได้ก่อนศาลมีคำสั่ง ผู้คัดค้านที่ 3 รับจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวไว้โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน ขอให้เพิกถอนคำสั่งให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 204989 พร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน และมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวเอาเงินมาชำระหนี้แก่ผู้คัดค้านที่ 3 จนครบ หากมีเงินเหลือให้ตกเป็นของแผ่นดิน
ผู้ร้อง ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ไม่คัดค้าน
ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้ว มีคำสั่งให้ยกคำร้องของผู้คัดค้านที่ 3 ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่ 204989 พร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยปลอดจำนอง นำเงินมาชำระหนี้แก่ผู้คัดค้านที่ 3 ก่อน หากมีเงินเหลือจึงให้ตกเป็นของแผ่นดิน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ผู้คัดค้านที่ 3 ขอคุ้มครองสิทธิของตนตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 ได้หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ข้อเท็จจริงยุติแล้วว่าผู้คัดค้านที่ 3 รับจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 204989 พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันหนี้ที่ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 กู้ยืมไปจากผู้คัดค้านที่ 3 โดยผู้คัดค้านที่ 3 ได้ฟ้องคดีเพื่อบังคับจำนองและเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งได้ดำเนินการบังคับคดียึดทรัพย์จำนองที่ศาลมีคำสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดินเพื่อบังคับตามคำพิพากษาแล้ว ผู้คัดค้านที่ 3 จึงเป็นผู้รับประโยชน์ในทรัพย์สินที่ผู้ร้องร้องขอให้ตกเป็นของแผ่นดินในฐานะผู้รับจำนองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวไว้โดยสุจริตและมีค่าตอบแทน คือ เงินที่ผู้คัดค้านที่ 3 ให้ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 กู้ยืมไป ผู้คัดค้านที่ 3 จึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอคุ้มครองสิทธิของตนได้ สำหรับระยะเวลาในการยื่นคำร้องขอคุ้มครองสิทธินั้น เห็นว่า ในการดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สิน มาตรา 49 วรรคห้า บัญญัติว่า เมื่อศาลรับคำร้องที่พนักงานอัยการยื่นต่อศาลแล้ว ให้ศาลปิดประกาศไว้ที่ศาล และประกาศอย่างน้อยสองวันติดต่อกันในหนังสือพิมพ์ที่มีจำหน่ายแพร่หลายในท้องถิ่นเพื่อให้ผู้ซึ่งอาจอ้างว่าเป็นเจ้าของหรือมีส่วนได้เสียในทรัพย์สินมายื่นคำร้องขอก่อนศาลมีคำสั่งกับให้ศาลส่งสำเนาประกาศไปยังเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเพื่อปิดประกาศไว้ที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและสถานีตำรวจท้องที่ที่ทรัพย์สินนั้นตั้งอยู่ และโดยเฉพาะถ้ามีหลักฐานแสดงว่าผู้ใดอาจอ้างว่าเป็นเจ้าของหรือมีส่วนได้เสียในทรัพย์สิน ก็ให้เลขาธิการมีหนังสือแจ้งโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับให้ผู้นั้นทราบเพื่อใช้สิทธิดังกล่าว เช่นนี้ย่อมเห็นได้ว่า การปิดประกาศ การประกาศในหนังสือพิมพ์ และการมีหนังสือแจ้งดังกล่าว ก็เพื่อให้เจ้าของหรือผู้มีส่วนได้เสียซึ่งรวมถึงผู้รับประโยชน์เช่นผู้คัดค้านที่ 3 ได้ยื่นคำร้องขอก่อนศาลมีคำสั่ง อันมีความมุ่งหมายให้ทุกฝ่ายได้ยื่นคำร้องขอตามสิทธิในส่วนของตนเข้ามาก่อนศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินตามมาตรา 51 ดังนั้น การที่มาตรา 50 วรรคสอง บัญญัติให้ผู้ซึ่งอ้างว่าเป็นผู้รับประโยชน์ในทรัพย์สิน มีสิทธิยื่นคำร้องขอคุ้มครองสิทธิของตนก่อนศาลมีคำสั่ง แต่หากศาลสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินตามมาตรา 51 แล้ว นอกจากผู้รับประโยชน์ในทรัพย์สินจะต้องยื่นคำร้องขอคุ้มครองสิทธิภายในหนึ่งปีนับแต่คำสั่งศาลให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินถึงที่สุดตามมาตรา 53 วรรคสอง ผู้ขอคุ้มครองสิทธิยังจะต้องพิสูจน์ให้เห็นด้วยว่า ตนไม่สามารถยื่นคำร้องขอตามมาตรา 50 ได้ เพราะไม่ทราบถึงประกาศหรือหนังสือแจ้งของเลขาธิการหรือมีเหตุขัดข้องอันสมควรประการอื่น ในกรณีของผู้คัดค้านที่ 3 ที่มิได้ยื่นคำร้องขอคุ้มครองสิทธิก่อนศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน แต่ยื่นคำร้องเข้ามาในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ซึ่งแม้จะยื่นเข้ามาก่อนคำสั่งศาลให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินถึงที่สุด ก็ต้องถือเป็นการใช้สิทธิยื่นคำร้องตามมาตรา 53 ซึ่งผู้คัดค้านที่ 3 ต้องพิสูจน์ว่าตนไม่สามารถยื่นคำร้องได้ก่อนศาลชั้นต้นมีคำสั่งตามมาตรา 50 เพราะไม่ทราบถึงประกาศของศาลและหนังสือแจ้งของเลขาธิการ หรือมีเหตุขัดข้องอันสมควรประการอื่นตามมาตรา 49 วรรคห้า ซึ่งปัญหานี้ผู้คัดค้านที่ 3 อ้างในคำร้องและนำสืบว่าผู้คัดค้านที่ 3 ไม่ทราบประกาศของศาลและไม่ได้รับหนังสือแจ้งของเลขาธิการ โดยผู้ร้องไม่ได้คัดค้านและโดยเฉพาะไม่ได้นำสืบโต้แย้งให้เห็นว่าเลขาธิการได้มีหนังสือแจ้งไปยังผู้คัดค้านที่ 3 ตามหน้าที่ซึ่งกำหนดไว้ในมาตรา 49 วรรคห้า แล้วแต่อย่างใด ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าผู้คัดค้านที่ 3 ไม่ทราบประกาศและหนังสือแจ้งดังกล่าว จึงไม่อาจยื่นคำร้องขอคุ้มครองสิทธิของตนได้ก่อนศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน คำร้องของผู้คัดค้านที่ 3 จึงเป็นคำร้องที่ยื่นภายในกำหนดเวลาโดยชอบตามมาตรา 53 วรรคสอง และไม่ใช่การใช้สิทธิไม่สุจริต ส่วนที่ผู้ร้องอ้างว่าเลขาธิการมีหนังสือ แจ้งคำสั่งยึดทรัพย์ให้ผู้คัดค้านที่ 3 ทราบแล้วนั้น ก็เป็นการแจ้งในขั้นตอนดำเนินการของคณะกรรมการธุรกรรม อันเป็นเวลาก่อนที่ผู้ร้องจะยื่นคำร้องขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share