คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 68/2558

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย ระหว่างสมรสโจทก์กับผู้ตายร่วมกันครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินมือเปล่าและปลูกต้นยูคาลิปตัสในที่ดิน จำเลยที่ 1 ปลอมสัญญาขายที่ดินและส่งมอบการครอบครองและปลอมลายมือชื่อผู้ตาย หรือหลอกลวงผู้ตาย ให้ลงลายมือชื่อในสัญญาขายที่ดินตามฟ้อง จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงไม่มีสิทธินำที่ดินพิพาทไปขายให้จำเลยที่ 3 และที่ 4 กับทั้งจำเลยที่ 3 และที่ 4 รบกวนการครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์โดยนำรถแทรกเตอร์เข้ามาไถต้นยูคาลิปตัสให้ได้รับความเสียหาย เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ ขอให้พิพากษาว่านิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 กับจำเลยที่ 3 และที่ 4 ตกเป็นโมฆะ ห้ามจำเลยที่ 3 และที่ 4 เกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทดังกล่าวและให้ชดใช้ค่าเสียหาย กับขอให้มีคำสั่งว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทตามคำขอท้ายฟ้อง ส่วนจำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การว่า โจทก์ไม่ได้ร่วมกับผู้ตาย จำเลยที่ 1 และที่ 2 ครอบครองที่ดินมือเปล่าตามฟ้องและที่ดินตามฟ้องเป็นสินส่วนตัวของผู้ตาย สัญญาซื้อขายที่ดินและส่งมอบการครอบครองถูกต้องและสมบูรณ์ด้วยการส่งมอบการครอบครอง จำเลยที่ 1 จึงมีสิทธิขายที่ดินพิพาทตามฟ้องให้แก่จำเลยที่ 3 และที่ 4 ได้ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ฟ้องโจทก์ขาดอายุความและเป็นฟ้องซ้อน จำเลยที่ 3 และที่ 4 ให้การว่า จำเลยที่ 3 และที่ 4 ซื้อที่ดินมือเปล่ามาจากจำเลยที่ 1 และเข้าครอบครองทำประโยชน์เกินกว่า 1 ปี โดยโจทก์ไม่เคยคัดค้าน จำเลยที่ 3 และที่ 4 ไม่เคยนำรถแทรกเตอร์ไปไถต้นยูคาลิปตัสของโจทก์ โจทก์ไม่ใช่เจ้าของและไม่มีสิทธิใด ๆ ในที่ดินดังกล่าวและไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายนั้น ประเด็นแห่งคดีจึงเป็นเรื่องพิพาทเกี่ยวกับความสมบรูณ์ของนิติกรรม ละเมิด และการครอบครอง ซึ่งจะต้องพิจารณาตามบทบัญญัติใน ป.พ.พ. บรรพ 1 ว่าด้วยนิติกรรม บรรพ 2 ว่าด้วยละเมิด และบรรพ 4 ว่าด้วยการครอบครอง แม้ตามคำฟ้องและคำให้การของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จะมีประเด็นให้วินิจฉัยด้วยว่า ทรัพย์พิพาทเป็นสินส่วนตัวหรือสินสมรสแต่ก็เพียงเพื่อวินิจฉัยในเรื่องอำนาจฟ้องเท่านั้น ข้อพิพาทหลักในคดียังเป็นการโต้แย้งในสิทธิและหน้าที่ระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสี่ซึ่งไม่มีความสัมพันธ์กันในทางครอบครัวแต่อย่างใด กรณีไม่มีประเด็นพิพาทระหว่างโจทก์กับผู้ตายซึ่งเป็นสามีภริยากันอันจะถือเป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยาในทางทรัพย์สินโดยตรง จึงไม่ใช่คดีครอบครัวตาม พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 10 (3)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนาย ฮ. จดทะเบียนสมรสปี 2521 เมื่อปี 2530 โจทก์กับนาย ฮ. ร่วมกันครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินมือเปล่าที่พิพาทหมู่ที่ 3 จังหวัดชลบุรี เนื้อที่ประมาณ 72 ไร่ และที่ดินมือเปล่าหมู่ที่ 8 จังหวัดชลบุรี เนื้อที่ ประมาณ 45 ไร่ รวมเนื้อที่ 100 ไร่เศษ โดยร่วมกันปลูกต้นยูคาลิปตัสเต็มพื้นที่ หลังจากนาย ฮ. ถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2551 โจทก์ยังคงครอบครองทำประโยชน์ตลอดมาจนถึงปัจจุบัน ก่อนที่นาย ฮ. ถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 1 ปลอมสัญญาขายที่ดินและส่งมอบการครอบครองและปลอมลายมือชื่อนาย ฮ. หรือหลอกลวงนาย ฮ. ให้ลงลายมือชื่อในสัญญาขายที่ดินดังกล่าวรวม 3 แปลง เนื้อที่ประมาณ 100 ไร่ พร้อมต้นยูคาลิปตัสให้แก่จำเลยที่ 1 โดยชำระค่าที่ดินครบถ้วนและนาย ฮ. ส่งมอบการครอบครองให้แก่จำเลยที่ 1 แล้ว ซึ่งไม่เป็นความจริงเพราะโจทก์และนาย ฮ. ครอบครองที่ดินดังกล่าวทั้ง 3 แปลงมาตลอดและนาย ฮ. ไม่เคยได้รับชำระค่าที่ดิน ต่อมาจำเลยที่ 1 และที่ 2 ขายที่ดินพิพาทแปลงที่ตั้งอยู่หมู่ที่ 3 ให้แก่จำเลยที่ 3 และที่ 4 ประมาณ 50 ไร่ และ 23 ไร่ตามลำดับ โจทก์จึงฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีอาญาในความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอม ประมาณเดือนกรกฎาคม 2557 จำเลยที่ 3 และที่ 4 นำรถแทรกเตอร์เข้ามาไถต้นยูคาลิปตัสที่ปลูกอยู่ในที่ดินพิพาทหมู่ที่ 3 ดังกล่าว ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย การทำสัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 กับจำเลยที่ 3 และที่ 4 แม้ทำเป็นหนังสือแต่มิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงตกเป็นโมฆะ โจทก์ในฐานะผู้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินแปลงดังกล่าวมาตลอดจึงมีสิทธิดีกว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 ขอให้พิพากษาว่า การซื้อขายที่ดินพิพาทหมู่ที่ 3 ตามฟ้องระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 กับจำเลยที่ 3 และที่ 4 ตกเป็นโมฆะ ห้ามจำเลยที่ 3 และที่ 4 เกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าว ให้โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินแปลงพิพาทหมู่ที่ 3 ให้จำเลยที่ 3 และที่ 4 ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามคำขอท้ายฟ้อง
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การและแก้ไขคำให้การว่า โจทก์ไม่ได้ร่วมกับนาย ฮ. ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินมือเปล่าหมู่ที่ 3 จังหวัดชลบุรีเนื้อที่ประมาณ 73 ไร่ และที่ดินมือเปล่าอีก 2 แปลง ซึ่งตั้งอยู่หมู่ที่ 8 จังหวัดชลบุรี เนื้อที่ประมาณ 10 ไร่ และ 15 ไร่ นาย ฮ. เข้าครอบครองทำประโยชน์ที่ดินทั้งสามแปลงโดยปลูกต้นยูคาลิปตัสแต่เพียงผู้เดียวตั้งแต่ปี 2515 ที่ดินพิพาททั้งสามแปลงเป็นสินส่วนตัวของนาย ฮ. ไม่ใช่เป็นทรัพย์สินร่วมกับโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์ไม่ได้ฟ้องคดีภายใน 10 ปี นับแต่นาย ฮ. ทำสัญญาขายที่ดินและส่งมอบการครอบครองให้แก่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ครอบครองที่ดินพิพาททั้งสามแปลงเกินกว่า 1 ปี คดีโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1374 และมาตรา 1375 และฟ้องโจทก์ที่เรียกค่าเสียหายขาดอายุความเพราะไม่ได้ฟ้องภายใน 1 ปี นับแต่วันทำละเมิด คดีนี้เป็นฟ้องซ้อนกับคดีหมายเลขดำที่ 1324/2557 ซึ่งอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลจังหวัดพัทยา สัญญาซื้อขายที่ดินและส่งมอบการครอบครอง เป็นสัญญาที่แท้จริงไม่ใช่เอกสารปลอม จำเลยที่ 1 ซื้อที่ดินพิพาททั้งสามแปลงโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน แล้วมอบหมายให้จำเลยที่ 2 ช่วยดูแลโดยไม่เคยมีผู้ใดมาโต้แย้งสิทธิ จำเลยที่ 1 จึงมีสิทธิขายที่ดินให้แก่จำเลยที่ 3 ที่ 4 และบุคคลอื่นได้ การซื้อขายที่ดินมือเปล่าไม่จำต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ สัญญาซื้อขายสมบรูณ์ด้วยการส่งมอบการครอบครอง โจทก์ไม่เคยเข้าครอบครองที่ดินพิพาทจึงไม่มีสิทธิดีกว่าจำเลยทั้งสี่ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 และที่ 4 ให้การและแก้ไขคำให้การทำนองเดียวกันว่า จำเลยที่ 3 และที่ 4 ซื้อที่ดินมือเปล่า หมู่ที่ 3 จังหวัดชลบุรี มาจากจำเลยที่ 1 แต่จะเป็นแปลงเดียวกับที่โจทก์ฟ้องหรือไม่จำเลยที่ 3 และที่ 4 ไม่ทราบและไม่รับรอง ภายหลังจากซื้อที่ดินแล้วจำเลยที่ 3 และที่ 4 เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวจนถึงปัจจุบันเกินกว่า 1 ปี โดยโจทก์ไม่เคยคัดค้าน ขณะไปซื้อที่ดินดังกล่าวไม่มีต้นยูคาลิปตัสและจำเลยที่ 3 และที่ 4 ไม่เคยนำรถแทรกเตอร์ไถต้นยูคาลิปตัสของโจทก์ โจทก์ไม่ใช่เจ้าของและไม่มีสิทธิใด ๆ ในที่ดินที่จำเลยที่ 3 และที่ 4 ซื้อจากจำเลยที่ 1 จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายหรือเรียกคืนที่ดินดังกล่าว ขอให้ยกฟ้อง
ในวันนัดไกล่เกลี่ยและชี้สองสถาน ศาลจังหวัดพัทยาเห็นว่า กรณีมีปัญหาว่าคดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลเยาวชนและครอบครัวหรือไม่ จึงส่งสำนวนให้ประธานศาลฎีกาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 11
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนาย ฮ. ผู้ตาย ระหว่างสมรสโจทก์กับผู้ตายร่วมกันครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินมือเปล่าและปลูกต้นยูคาลิปตัสในที่ดิน จำเลยที่ 1 ปลอมสัญญาขายที่ดินและส่งมอบการครอบครองและปลอมลายมือชื่อนาย ฮ. หรือหลอกลวงนาย ฮ. ให้ลงลายมือชื่อในสัญญาขายที่ดินตามฟ้อง จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงไม่มีสิทธินำที่ดินพิพาทไปขายให้จำเลยที่ 3 และที่ 4 กับทั้งจำเลยที่ 3 และที่ 4 รบกวนการครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์โดยนำรถแทรกเตอร์เข้ามาไถต้นยูคาลิปตัสให้ได้รับความเสียหาย เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ ขอให้พิพากษาว่านิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาทหมู่ 3 ระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 กับจำเลยที่ 3 และที่ 4 ตกเป็นโมฆะ ห้ามจำเลยที่ 3 และที่ 4 เกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทดังกล่าวและให้ชดใช้ค่าเสียหาย กับขอให้มีคำสั่งว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหมู่ที่ 3 ตามคำขอท้ายฟ้อง ส่วนจำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การว่า โจทก์ไม่ได้ร่วมกับนาย ฮ. ผู้ตาย ครอบครองและทำประโยชน์ที่ดินมือเปล่าตามฟ้องและที่ดินตามฟ้องเป็นสินส่วนตัวของผู้ตาย สัญญาซื้อขายที่ดินและส่งมอบการครอบครองถูกต้องและสมบูรณ์ด้วยการส่งมอบการครอบครอง จำเลยที่ 1 จึงมีสิทธิขายที่ดินพิพาทหมู่ที่ 3 ตามฟ้องให้แก่จำเลยที่ 3 และที่ 4 ได้ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ฟ้องโจทก์ขาดอายุความและเป็นฟ้องซ้อน สำหรับจำเลยที่ 3 และที่ 4 ให้การว่า จำเลยที่ 3 และที่ 4 ซื้อที่ดินมือเปล่าหมู่ที่ 3 มาจากจำเลยที่ 1 และเข้าครอบครองทำประโยชน์เกินกว่า 1 ปี โดยโจทก์ไม่เคยคัดค้าน จำเลยที่ 3 และที่ 4 ไม่เคยนำรถแทรกเตอร์ไปไถต้นยูคาลิปตัสของโจทก์ โจทก์ไม่ใช่เจ้าของและไม่มีสิทธิใด ๆ ในที่ดินดังกล่าวและไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายนั้น ประเด็นแห่งคดีจึงเป็นเรื่องพิพาทเกี่ยวกับความสมบรูณ์ของนิติกรรม ละเมิด และการครอบครอง ซึ่งจะต้องพิจารณาตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 1 ว่าด้วยนิติกรรม บรรพ 2 ว่าด้วยละเมิด และบรรพ 4 ว่าด้วยการครอบครอง แม้ตามคำฟ้องและคำให้การของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จะมีประเด็นให้วินิจฉัยด้วยว่า ทรัพย์พิพาทเป็นสินส่วนตัวหรือสินสมรสแต่ก็เพียงเพื่อวินิจฉัยในเรื่องอำนาจฟ้องเท่านั้น ข้อพิพาทหลักในคดียังเป็นการโต้แย้งในสิทธิและหน้าที่ระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสี่ซึ่งไม่มีความสัมพันธ์กันในทางครอบครัวแต่อย่างใด กรณีไม่มีประเด็นพิพาทระหว่างโจทก์กับผู้ตายซึ่งเป็นสามีภริยากันอันจะถือเป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยาในทางทรัพย์สินโดยตรง จึงไม่ใช่คดีครอบครัวตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 10 (3)
วินิจฉัยว่า คดีนี้ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลเยาวชนและครอบครัว
วินิจฉัย ณ วันที่ 3 เดือน พฤศจิกายน พุทธศักราช 2558

วีระพล ตั้งสุวรรณ
(นายวีระพล ตั้งสุวรรณ)
ประธานศาลฎีกา

Share