คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15130/2558

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ.2533 มาตรา 85 วรรคหนึ่ง บัญญัติไว้ชัดเจนว่า นายจ้าง ผู้ประกันตนหรือบุคคลอื่นใดซึ่งไม่พอใจในคำสั่งของเลขาธิการหรือของพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งสั่งการตามพระราชบัญญัตินี้เว้นแต่เป็นคำสั่งตามมาตรา 50 ให้มีสิทธิอุทธรณ์เป็นหนังสือต่อคณะกรรมการอุทธรณ์ได้ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งดังกล่าว ทั้งมาตรา 87 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ให้คณะกรรมการอุทธรณ์มีอำนาจหน้าที่พิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ที่ยื่นตามมาตรา 85 โดยวรรคสามบัญญัติว่า คำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์นั้น ถ้าผู้อุทธรณ์ไม่พอใจให้มีสิทธินำคดีไปสู่ศาลแรงงานภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัย แต่ถ้าไม่นำคดีไปสู่ศาลแรงงานภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าว ให้คำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์เป็นที่สุด บทบัญญัติดังกล่าวหาได้ให้มีสิทธิอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานส่งมอบให้คณะกรรมการอุทธรณ์อีกทางหนึ่งไม่ที่ศาลแรงงานภาค 4 วินิจฉัยว่า หนังสือที่โจทก์ทำถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานไม่เป็นการยื่นอุทธรณ์คำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม มาตรา 85 โจทก์ต้องอุทธรณ์คำสั่งต่อคณะกรรมการอุทธรณ์ภายในสามสิบวันก่อน เมื่อคณะกรรมการอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยแล้ว ถ้าผู้อุทธรณ์ไม่พอใจให้มีสิทธินำคดีไปสู่ศาลแรงงานภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัย ตามมาตรา 87 โจทก์ไม่ดำเนินการตามขั้นตอน จึงไม่มีอำนาจฟ้อง แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้นจึงชอบแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงาน 10,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานภาค 4 พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานภาค 4 ฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ทำงานเป็นลูกจ้างของบริษัทพิบูลย์มหาสารคาม จำกัด ตั้งแต่วันที่ 6 กันยายน 2545 ต่อมาถูกเลิกจ้างเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2549 ภายหลังถูกเลิกจ้างโจทก์ไปขึ้นทะเบียนต่อสำนักงานจัดหางานจังหวัดมหาสารคามและขอให้สำนักงานดังกล่าวจัดหางานให้ แต่ไม่อาจจัดหาตำแหน่งงานที่เหมาะสมแก่โจทก์ให้ได้ วันที่ 16 มิถุนายน 2549 โจทก์ยื่นขอรับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานและชราภาพต่อสำนักงานประกันสังคมจังหวัดมหาสารคาม ในวันเดียวกันสำนักงานประกันสังคมจังหวัดมหาสารคามมีคำสั่งที่ มค 0025/ว2167 ลงวันที่ 16 มิถุนายน 2549 แจ้งต่อโจทก์ว่า โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ หากไม่พอใจคำสั่งสามารถอุทธรณ์เป็นหนังสือต่อคณะกรรมการอุทธรณ์ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งนี้ สำนักงานประกันสังคมจังหวัดมหาสารคามจ่ายเฉพาะประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพแก่โจทก์ โจทก์ไม่ได้ยื่นอุทธรณ์เป็นหนังสือต่อคณะกรรมการอุทธรณ์แต่โจทก์ทำหนังสือลงวันที่ 20 มิถุนายน 2549 ถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานระบุว่าขออุทธรณ์มายังท่านรัฐมนตรีโปรดกรุณาวินิจฉัยให้ความเป็นธรรมเรื่องไม่ให้ประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงาน สำนักงานรัฐมนตรีกระทรวงแรงงานรับหนังสือไว้เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2549 โจทก์ทำหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานอีก 2 ฉบับ ลงวันที่ 6 และวันที่ 26 กรกฎาคม 2549 แล้วศาลแรงงานภาค 4 วินิจฉัยว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการอุทธรณ์ แต่ไม่ได้เป็นคณะกรรมการอุทธรณ์คณะกรรมการอุทธรณ์ประกอบด้วยประธานกรรมการหนึ่งคน และกรรมการอื่นซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิทางกฎหมาย ผู้ทรงคุณวุฒิทางการแพทย์ ผู้ทรงคุณวุฒิทางระบบงานประกันสังคม ผู้ทรงคุณวุฒิทางการแรงงาน ผู้แทนฝ่ายนายจ้างสามคน และผู้แทนฝ่ายลูกจ้างสามคน และให้ผู้แทนสำนักงานประกันสังคมเป็นกรรมการและเลขานุการ ซึ่งทั้งคณะมีจำนวนรวมแล้วไม่เกินสิบสามคน ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 มาตรา 86 หนังสือที่โจทก์ทำถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานไม่เป็นการยื่นอุทธรณ์คำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 มาตรา 85 โจทก์ต้องอุทธรณ์คำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ต่อคณะกรรมการอุทธรณ์ภายในสามสิบวันก่อน เมื่อคณะกรรมการอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยแล้วโจทก์ไม่พอใจจึงจะมีสิทธินำคดีไปสู่ศาลแรงงานภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยได้ ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 มาตรา 87 โจทก์ไม่ดำเนินการตามขั้นตอนดังกล่าว จึงไม่มีอำนาจฟ้อง กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นอื่นอีก
ที่โจทก์อุทธรณ์สรุปความได้ว่า จำเลยจ่ายเงินชราภาพแทนเพื่อพยุงชีพโดยเร่งด่วนขณะนั้น โจทก์จำใจรับไว้ก่อนเพื่อแก้วิกฤติให้เป็นโอกาส พร้อมกับยื่นหนังสืออุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2549 ส่งมอบให้คณะกรรมการอุทธรณ์ที่เป็นนิติบุคคล โดยโจทก์ได้วงเล็บ (อุทธรณ์) ตามกำหนดระยะเวลาตามกฎหมายนั้นถือได้ว่าเป็นการอุทธรณ์คำวินิจฉัยที่ชอบด้วยพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 มาตรา 85 แล้ว เป็นหน้าที่ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานจะต้องส่งหนังสือดังกล่าวไปยังคณะกรรมการอุทธรณ์พิจารณาต่อไปนั้น พิเคราะห์แล้ว พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 มาตรา 85 วรรคหนึ่ง บัญญัติไว้ชัดเจนว่า นายจ้าง ผู้ประกันตนหรือบุคคลอื่นใดซึ่งไม่พอใจในคำสั่งของเลขาธิการหรือของพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งสั่งการตามพระราชบัญญัตินี้ เว้นแต่เป็นคำสั่งตามมาตรา 50 ให้มีสิทธิอุทธรณ์เป็นหนังสือต่อคณะกรรมการอุทธรณ์ได้ภายในสามสิบวัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งดังกล่าว ทั้งมาตรา 87 วรรคหนึ่ง ยังบัญญัติอีกว่า ให้คณะกรรมการอุทธรณ์มีอำนาจหน้าที่พิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ที่ยื่นตามมาตรา 85 โดยวรรคสามบัญญัติว่า คำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์นั้น ถ้าผู้อุทธรณ์ไม่พอใจ ให้มีสิทธินำคดีไปสู่ศาลแรงงานภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัย แต่ถ้าไม่นำคดีไปสู่ศาลแรงงานภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าว ให้คำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์เป็นที่สุด บทบัญญัติดังกล่าวหาได้ให้มีสิทธิอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานส่งมอบให้คณะกรรมการอุทธรณ์อีกทางหนึ่งไม่ ที่ศาลแรงงานภาค 4 วินิจฉัยว่า หนังสือที่โจทก์ทำถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานไม่เป็นการยื่นอุทธรณ์คำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 มาตรา 85 โจทก์ต้องอุทธรณ์คำสั่งต่อคณะกรรมการอุทธรณ์ภายในสามสิบวันก่อน เมื่อคณะกรรมการอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยแล้ว ถ้าผู้อุทธรณ์ไม่พอใจให้มีสิทธินำคดีไปสู่ศาลแรงงานภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัย ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 มาตรา 87 โจทก์ไม่ดำเนินการตามขั้นตอน จึงไม่มีอำนาจฟ้อง แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้นจึงชอบแล้ว กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นของโจทก์ต่อไปเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง
พิพากษายืน

Share