แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
ที่ดินพิพาทเป็นสินส่วนตัวของโจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1471 (1) และ 1472 วรรคหนึ่ง หลังจากสมรสโจทก์ร่วมกับจำเลยปลูกสร้างรีสอร์ต ร้านอาหาร และต่อเติมบ้านเป็นร้านเสริมสวย สิ่งปลูกสร้างจึงเป็นทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสมรส แม้โจทก์จะเป็นผู้ออกเงินค่าก่อสร้างก็ตามแต่ก็ต้องได้รับการช่วยเหลือจากจำเลย ที่สำคัญสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวโจทก์กับจำเลยใช้เป็นที่อยู่อาศัยและประกอบธุรกิจร่วมกัน ตามพฤติการณ์เห็นได้ว่าโจทก์ยินยอมให้ใช้ที่ดินพิพาทปลูกสร้างสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว กรณีเข้าข้อยกเว้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 146 จำเลยจึงเป็นผู้มีสิทธิอยู่ในที่ดินพิพาท สิ่งปลูกสร้างเพิ่มเติมบนที่ดินพิพาทไม่เป็นส่วนควบของที่ดิน คงเป็นสินสมรสที่เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์และจำเลยร่วมกัน จำเลยไม่ยอมเปลี่ยนชื่อทางทะเบียนให้แก่โจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกที่ดินพิพาทคืน ส่วนสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินพิพาทเป็นสินสมรส เมื่อโจทก์จำเลยยังมีสถานะเป็นสามีภริยาต่อกันตามกฎหมาย โจทก์จำเลยต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 1476 กรณีนี้ต้องบังคับตาม ป.ที่ดิน มาตรา 94 คือให้โจทก์จำหน่ายเฉพาะที่ดินพิพาทภายในเวลาที่อธิบดีกรมที่ดินกำหนด หากไม่ปฏิบัติตามให้อธิบดีกรมที่ดินมีอำนาจจำหน่ายที่ดินนั้น ส่วนสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินพิพาทเป็นสินสมรส จำเลยยังไม่ต้องคืนแก่โจทก์ แต่หากโจทก์ประสงค์จะขายสิ่งปลูกสร้างพร้อมที่ดินที่พิพาทโดยจำเลยยินยอมก็สามารถทำได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 6718 ตำบลขนอม อำเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมสิ่งปลูกสร้างให้โจทก์และให้จำเลยจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อผู้ครอบครองและเช่าซื้อรถยนต์ หมายเลขทะเบียน กธ 6844 สุราษฎร์ธานี และรถจักรยานยนต์ 2 คัน ให้แก่โจทก์ภายใน 7 วัน นับแต่วันมีคำพิพากษา หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยคืนที่ดินโฉนดเลขที่ 6718 ตำบลขนอม อำเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมสิ่งปลูกสร้างแก่โจทก์ และให้โจทก์จำหน่ายเฉพาะที่ดินโฉนดเลขที่ 6718 ตำบลขนอม อำเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยให้จำเลยซึ่งเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทนโจทก์ไปจดทะเบียนโอนจำหน่ายให้ หากจำเลยไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยและให้โจทก์มีสิทธิในเงินที่จำหน่าย หากไม่ปฏิบัติตามให้อธิบดีกรมที่ดินมีอำนาจจำหน่ายที่ดินนั้นได้ตามกฎหมาย ให้แจ้งผลคำพิพากษาให้อธิบดีกรมที่ดินทราบ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์โดยได้รับอนุญาตให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกาโดยได้รับอนุญาตให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังเป็นยุติว่า โจทก์เป็นคนสัญชาติศรีลังกาไม่อาจถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินในประเทศไทยได้ โจทก์รู้จักและคบหากันกับจำเลยที่จังหวัดภูเก็ต ต่อมาได้จดทะเบียนสมรสกันเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2547 ภายหลังจากสมรสกันแล้วจำเลยจดทะเบียนซื้อที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 6718 ตำบลขนอม อำเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมสิ่งปลูกสร้างจากบุคคลภายนอกเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2548 โดยโจทก์เป็นผู้ชำระราคาที่ดินแก่ผู้ขายด้วยเงินที่เป็นสินส่วนตัวของโจทก์ แล้วให้จำเลยมีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินแทนโจทก์ ที่ดินพิพาทเป็นสินส่วนตัวของโจทก์ ต่อมามีการปลูกสร้างอาคารเพิ่มบนที่ดิน คือรีสอร์ตกับร้านอาหาร และมีการต่อเติมตัวบ้าน เป็นร้านเสริมสวย ส่วนรถยนต์ หมายเลขทะเบียน กธ 6844 สุราษฎร์ธานี และรถจักรยานยนต์ จำนวน 2 คัน เป็นสินสมรส ซึ่งยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าจำเลยไม่ต้องคืนให้แก่โจทก์
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า สิ่งปลูกสร้างบนที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 6718 เป็นสินสมรสหรือไม่ และจำเลยต้องคืนแก่โจทก์หรือไม่ ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 6718 เป็นสินส่วนตัวของโจทก์เพราะโจทก์ซื้อด้วยเงินส่วนตัวของโจทก์ที่มีมาก่อนจดทะเบียนสมรสกับจำเลย เมื่อฟังว่าที่ดินพิพาทเป็นสินส่วนตัวแล้วสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินพิพาทย่อมเป็นส่วนควบของที่ดิน โจทก์จึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างด้วย การที่โจทก์ซึ่งเป็นคนต่างด้าวซื้อที่ดินโดยให้จำเลยมีชื่อถือกรรมสิทธิ์แทนเป็นการกระทำที่ขัดต่อประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 86 ย่อมตกเป็นโมฆะ แต่ตามมาตรา 94 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินบัญญัติให้คนต่างด้าวจัดการจำหน่ายที่ดินภายในเวลาที่อธิบดีกรมที่ดินกำหนด การได้มาซึ่งที่ดินของโจทก์จึงไม่เสียเปล่า แต่ยังคงมีผลตามกฎหมายอยู่และการบังคับให้จำหน่ายหมายความเฉพาะที่ดินพิพาทเท่านั้น ไม่รวมถึงสิ่งปลูกสร้างด้วยเพราะคนต่างด้าวไม่ต้องห้ามมิให้ถือกรรมสิทธิ์สิ่งปลูกสร้างแต่อย่างใด จำเลยฎีกาว่า หลังจดทะเบียนสมรสร่วมปีเศษ โจทก์จำเลยได้ร่วมกันปลูกสร้างรีสอร์ตกับร้านอาหารและต่อเติมบ้านเป็นร้านเสริมสวย ขณะซื้อที่ดินเมื่อปี 2548 ที่ดินพิพาทมีราคา 5,827,500 บาท แต่ปัจจุบันที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างมีมูลค่า 14,000,000 บาท ตลอดระยะเวลาที่โจทก์กับจำเลยอยู่กินฉันสามีภริยารวม 8 ปี ได้ร่วมกันสร้างฐานะในลักษณะที่เป็นหุ้นส่วนกัน ที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างมีมูลค่าเพิ่มขึ้นประมาณ 8,000,000 บาท ส่วนต่างของเงินจำนวนนี้เป็นดอกผลในสินส่วนตัวย่อมเป็นสินสมรสที่โจทก์ต้องแบ่งให้จำเลยครึ่งหนึ่ง และจำเลยยังได้ประโยชน์จากข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่ากรณีเป็นที่สงสัยว่าทรัพย์สินใดเป็นสินสมรสหรือไม่ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นสินสมรส ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1474 จำเลยมีสิทธิในที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างด้วย จึงไม่ต้องคืนให้แก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า ที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 6718 เป็นสินส่วนตัวของโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1471 (1) และ 1472 วรรคหนึ่ง ซึ่งยุติไปตามคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองแล้ว หลังจากสมรสโจทก์ร่วมกับจำเลยปลูกสร้างรีสอร์ต ร้านอาหาร และต่อเติมบ้านเป็นร้านเสริมสวย สิ่งปลูกสร้างจึงเป็นทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสมรส แม้โจทก์จะเป็นผู้ออกเงินค่าก่อสร้างก็ตามแต่ก็ต้องได้รับการช่วยเหลือจากจำเลย ที่สำคัญสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวโจทก์กับจำเลยใช้เป็นที่อยู่อาศัยและประกอบธุรกิจร่วมกัน ตามพฤติการณ์เห็นได้ว่าโจทก์ยินยอมให้ใช้ที่ดินพิพาทปลูกสร้างสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว กรณีเข้าข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 146 จำเลยจึงเป็นผู้มีสิทธิอยู่ในที่ดินพิพาท สิ่งปลูกสร้างเพิ่มเติมบนที่ดินพิพาทไม่เป็นส่วนควบของที่ดิน คงเป็นสินสมรสที่เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์และจำเลยร่วมกัน จำเลยไม่ยอมเปลี่ยนชื่อทางทะเบียนให้แก่โจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกที่ดินพิพาทคืน ส่วนสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินพิพาทเป็นสินสมรส เมื่อโจทก์จำเลยยังมีสถานะเป็นสามีภริยาต่อกันตามกฎหมาย โจทก์จำเลยต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1476 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้จำเลยคืนที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างแก่โจทก์ และให้โจทก์จำหน่ายเฉพาะที่ดินพิพาท โดยให้จำเลยซึ่งมีชื่อถือกรรมสิทธิ์แทนไปจดทะเบียนโอนจำหน่ายให้และให้โจทก์มีสิทธิในเงินที่จำหน่ายนั้นไม่ถูกต้อง เพราะกรณีนี้ต้องบังคับตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 94 คือให้โจทก์จำหน่ายเฉพาะที่ดินพิพาทภายในเวลาที่อธิบดีกรมที่ดินกำหนด หากไม่ปฏิบัติตามให้อธิบดีกรมที่ดินมีอำนาจจำหน่ายที่ดินนั้น ส่วนที่พิพากษาให้จำเลยคืนสิ่งปลูกสร้างด้วยนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย เพราะสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินพิพาทเป็นสินสมรส จำเลยยังไม่ต้องคืนแก่โจทก์ แต่หากโจทก์ประสงค์จะขายสิ่งปลูกสร้างพร้อมที่ดินที่พิพาทโดยจำเลยยินยอมก็สามารถทำได้ ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยคืนเฉพาะที่ดินโฉนดเลขที่ 6718 ตำบลขนอม อำเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช แก่โจทก์ และให้โจทก์จำหน่ายเฉพาะที่ดินแปลงดังกล่าวภายในระยะเวลาที่อธิบดีกรมที่ดินกำหนด หากไม่ปฏิบัติตามให้อธิบดีกรมที่ดินมีอำนาจจำหน่ายที่ดินนั้นได้ตามกฎหมาย โดยให้จำเลยซึ่งมีชื่อถือกรรมสิทธิ์ไปจดทะเบียนโอนจำหน่ายให้ หากไม่ไปให้ถือคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนา ให้แจ้งผลคำพิพากษาให้อธิบดีกรมที่ดินทราบ ยกคำขอคืนสิ่งปลูกสร้าง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ