แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำฟ้องของโจทก์ข้อ 2.2 – 2.5 บรรยายบัญชีเงินฝากในธนาคาร ก. ธนาคาร ท. ธนาคาร อ. และธนาคาร พ. รวม 4 ธนาคาร แต่เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์และบรรยายในคำฟ้องอุทธรณ์ว่า ขออนุญาตอุทธรณ์เฉพาะทรัพย์สินดังต่อไปนี้ว่าเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับ ล. โดยไม่ได้อุทธรณ์ถึงบัญชีเงินฝากธนาคาร พ. แต่อย่างใด ทั้งในตอนท้ายอุทธรณ์ของโจทก์ยังมีคำขอในข้อ 2 ให้จำเลยทั้งสองแบ่งสินสมรสในส่วนที่เป็นเงินฝากธนาคารแก่โจทก์เพียง 35,872.73 บาท เท่านั้น การที่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า เงินฝากในธนาคาร พ. มีจำนวน 800,000 บาท เป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับ ล. โจทก์จึงมีสิทธิได้รับกึ่งหนึ่งและพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันแบ่งสินสมรสในส่วนเงินฝากธนาคารแก่โจทก์ 435,872.22 บาท พร้อมดอกเบี้ยนั้นจึงเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าที่โจทก์อุทธรณ์ ไม่ชอบตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 ประกอบมาตรา 246 ประกอบ พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 6
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันแบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 138214 และ 138215 ให้แก่โจทก์ 1 ใน 4 ส่วน โดยให้ขายประมูลราคากันระหว่างเจ้าของรวมหรือขายทอดตลาดที่ดินดังกล่าวนำเงินมาชำระให้โจทก์ 1 ใน 4 ส่วน หากเป็นการพ้นวิสัยที่ทำได้ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้เงิน 40,591,250 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยทั้งสองแบ่งสินสมรสในส่วนเงินฝากธนาคารแก่โจทก์ 2,535,872.72 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของจำนวนเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยทั้งสองแบ่งหุ้นในธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) บริษัทปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) และหุ้นอื่น ๆ ที่มีชื่อนายเล็กให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง หากเป็นการพ้นวิสัยที่จะทำได้ ให้จำเลยทั้งสองชดใช้เงิน 4,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันแบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 138214 และ 138215 ให้แก่โจทก์ 1 ใน 4 ส่วน หากแบ่งไม่ได้ให้ดำเนินการตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1364 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันแบ่งสินสมรสในส่วนเงินฝากธนาคารแก่โจทก์ 435,872.22 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง (วันที่ 9 สิงหาคม 2556) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้ร่วมกันแบ่งหุ้นในธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) บริษัทปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) และหุ้นในบริษัทอื่นๆ ที่มีชื่อนายเล็กให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง หากเป็นการพ้นวิสัยที่จะทำได้ ให้จำเลยทั้งสองชดใช้เงิน 3,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ สำหรับการแบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 138214 และ 138215 ให้แก่โจทก์ 1 ใน 4 ส่วนนั้น หากแบ่งไม่ได้ให้ขายโดยประมูลราคากันระหว่างกันเอง ถ้าตกลงกันไม่ได้ให้นำออกขายทอดตลาดได้เงินสุทธิเท่าใดให้แบ่งแก่โจทก์ 1 ใน 4 ส่วน หากเป็นการพ้นวิสัยที่ทำได้ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้เงิน 40,591,250 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า โจทก์เป็นคนไร้ความสามารถ มีนางเจียมใจ เป็นผู้อนุบาล โจทก์กับนายเล็ก เป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย นายเล็กและจำเลยที่ 2 เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันและเป็นบุตรของนายชม กับนางผิว เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2515 นายเล็กกับจำเลยที่ 2 ร่วมกันซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 8928 มาจากนางเจือ ในราคา 73,640 บาท ต่อมาที่ดินดังกล่าวได้แบ่งแยกเพิ่มเป็นอีก 2 โฉนด คือที่ดินโฉนดเลขที่ 138214 และ 138215 เนื้อที่รวม 11 ไร่ 2 งาน 39 ตารางวา ซึ่งมีชื่อนายเล็กและจำเลยที่ 2 ในโฉนดที่ดิน ต่อมาเฉพาะส่วนของนายเล็กได้โอนให้แก่จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายเล็ก สำหรับที่ดินโฉนดเลขที่ 8928 ได้ขายให้แก่บุคคลภายนอกแล้ว ราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ใช้สำหรับเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมที่ดินโฉนดเลขที่ 138214 ตารางวาละ 11,000 บาท และที่ดินโฉนดเลขที่ 138215 ตารางวาละ 16,500 บาท นายเล็กมีทรัพย์สินที่ซื้อมาก่อนจดทะเบียนสมรสกับโจทก์คือที่ดินโฉนดเลขที่ 24052 เนื้อที่ 1 งาน ซึ่งเป็นสินเดิมของนายเล็ก ต่อมานายเล็กขายที่ดินดังกล่าวให้แก่นายสมควร ในราคา 6,800,000 บาท ระหว่างสมรสโจทก์กับนายเล็กต่างทำงานและมีรายได้ที่แน่นอน โจทก์รับราชการตำแหน่งอาจารย์ระดับ 7 เกษียณอายุเมื่อปี 2542 นายเล็กรับราชการที่กรมชลประทาน ต่อมาย้ายไปทำงานที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หลังจากนั้นลาออกจากราชการไปทำงานที่บริษัทปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) จนกระทั่งปี 2530 จึงลาออกมาทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาและค้ากำไรจากการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย นายเล็กถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2555 จำเลยทั้งสองเป็นผู้รับมรดกตามพินัยกรรมของนายเล็ก และจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของนายเล็ก
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยทั้งสองข้อแรกว่า ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้งสองแบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 138214 และเลขที่ 138215 ให้แก่โจทก์ 1 ใน 4 ส่วน … หากเป็นการพ้นวิสัยที่ทำได้ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้เงิน 40,519,250 บาท พร้อมดอกเบี้ยนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องและนำสืบว่า ที่ดินพิพาททั้งสองแปลงมีราคาตารางวาละ 35,000 บาท รวมราคาที่ดินทั้งสองแปลงเป็นเงิน 162,365,000 บาท โจทก์มีสิทธิ 1 ใน 4 ส่วน เป็นเงิน 40,591,250 บาท ที่ดินดังกล่าวเมื่อก่อสร้างรถไฟฟ้าสายบางซื่อ – บางใหญ่เสร็จ ที่ดินจะอยู่ใกล้สถานีท่าอิฐ ประมาณ 200 เมตร ซึ่งจะทำให้ที่ดินมีราคาสูงขึ้นอีกมาก จำเลยทั้งสองนำสืบอ้างว่า ส่งหนังสือรับรองราคาประเมินที่ดินโฉนดเลขที่ 138214 ราคาประเมินตารางวาละ 11,000 บาท และที่ดินโฉนดเลขที่ 138215 ราคาประเมินตารางวาละ 16,500 บาท พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบจึงชัดเจนมีน้ำหนักรับฟังได้เพราะจำเลยทั้งสองมิได้ต่อสู้ว่าราคาที่ดินพิพาททั้งสองแปลงมีราคาเท่าใดและที่โจทก์อ้างว่าราคาตารางวาละ 35,000 บาท ไม่ถูกต้องอย่างไร ส่วนที่จำเลยทั้งสองอ้างราคาประเมินของสำนักงานที่ดินนั้นเป็นราคาที่ใช้สำหรับเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมมิใช่ราคาซื้อขายที่ดินที่แท้จริง ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบว่า ราคาที่ดินพิพาททั้งสองแปลง 1 ใน 4 ส่วนเป็นเงิน 40,591,250 บาท แต่เนื่องจากยังไม่ปรากฏว่าได้มีการขายที่ดินพิพาททั้งสองแปลงดังกล่าว ซึ่งหากมีการขายที่ดินพิพาททั้งสองแปลงอาจจะได้ราคามากกว่าหรือน้อยกว่าจำนวนเงิน 40,591,250 บาท ดังนั้น จึงเห็นว่าสำหรับการแบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 138214 และ 138215 ให้แก่โจทก์ 1 ใน 4 ส่วน นั้น หากแบ่งไม่ได้ให้ขายโดยประมูลราคากันระหว่างกันเอง ถ้าตกลงกันไม่ได้ให้นำออกขายทอดตลาดได้เงินสุทธิเท่าใด ให้แบ่งโจทก์ 1 ใน 4 ส่วน แต่ไม่เกิน 40,591,250 บาท ตามที่โจทก์ตีราคามา ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้เงินโดยระบุจำนวนที่แน่นอนเป็นเงิน 40,591,250 บาท พร้อมดอกเบี้ย ยังไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อต่อไปว่า ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันแบ่งสินสมรสในส่วนเงินฝากธนาคารแก่โจทก์ 435,872.22 บาท พร้อมดอกเบี้ยนั้น เฉพาะยอดเงินต้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ในคำฟ้องของโจทก์ข้อ 2.2 – 2.5 บรรยายบัญชีเงินฝากในธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร รวม 4 ธนาคาร แต่เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องคำขอนี้ โจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์และบรรยายในคำฟ้องอุทธรณ์ว่า ขออนุญาตอุทธรณ์เฉพาะทรัพย์สินดังที่จะกราบเรียนต่อไปนี้ว่าเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับนายเล็ก คือ (1) บัญชีเงินฝากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (2) บัญชีเงินฝากธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และ (3) บัญชีเงินฝากธนาคารออมสิน โดยไม่ได้อุทธรณ์ถึงบัญชีเงินฝากในธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรแต่อย่างใด ทั้งในตอนท้ายอุทธรณ์ของโจทก์ยังมีคำขอในข้อ 2 ให้จำเลยทั้งสองแบ่งสินสมรสในส่วนที่เป็นเงินฝากธนาคารแก่โจทก์เพียง 35,872.73 บาท เท่านั้น การที่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าเงินฝากในธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร มีจำนวน 800,000 บาท เป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับนายเล็ก โจทก์จึงมีสิทธิได้รับกึ่งหนึ่งและพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันแบ่งสินสมรสในส่วนเงินฝากธนาคารแก่โจทก์ 435,872.22 บาท พร้อมดอกเบี้ยนั้น จึงเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าที่โจทก์อุทธรณ์ ไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 ประกอบมาตรา 246 ประกอบพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 6 ฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสองฟังขึ้น
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อสุดท้ายว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องขอแบ่งหุ้นในธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) บริษัทปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) และหุ้นในบริษัทอื่น ๆ ที่มีชื่อนายเล็ก จากจำเลยทั้งสองหรือไม่ โดยจำเลยทั้งสองฎีกาว่า ขณะที่นายเล็กถึงแก่ความตายนั้น หุ้นดังกล่าวไม่มีอยู่แล้ว ดังที่นางเจียมใจผู้อนุบาลโจทก์เบิกความประกอบเอกสารว่ามีเงินฝากในบัญชีดังกล่าว 12,134.67 บาท ซึ่งบัญชีเงินฝากดังกล่าวเป็นบัญชีพอร์ทซื้อขายหุ้นของนายเล็ก แสดงให้เห็นว่าหุ้นต่าง ๆ ตามที่โจทก์กล่าวอ้างไม่มีอยู่แล้วขณะที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขอแบ่งหุ้นดังกล่าวจากจำเลยทั้งสอง เห็นว่า ฎีกาของจำเลยทั้งสองดังกล่าวเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งจำเลยทั้งสองไม่ได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การของจำเลยทั้งสองมาแต่ต้น จำเลยทั้งสองเพิ่งจะยกปัญหาดังกล่าวขึ้นอ้างในชั้นฎีกา ฎีกาของจำเลยทั้งสองจึงเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 (เดิม) ประกอบพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 6 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันแบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 138214 และ 138215 ให้แก่โจทก์ 1 ใน 4 ส่วน หากแบ่งไม่ได้ให้ขายโดยประมูลราคาระหว่างกันเอง ถ้าตกลงกันไม่ได้ให้นำออกขายทอดตลาด ได้เงินสุทธิเท่าใดให้แบ่งโจทก์ 1 ใน 4 ส่วน แต่ไม่เกิน 40,591,250 บาท ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันแบ่งสินสมรสในส่วนเงินฝากธนาคารแก่โจทก์ 35,872.72 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง (วันที่ 9 สิงหาคม 2556) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ