แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้ขณะผู้ร้องยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ คดีของศาลแพ่งซึ่งมีคำสั่งให้ทรัพย์พิพาทตกเป็นของแผ่นดินตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2522 มาตรา 51 วรรคหนึ่ง ยังไม่ถึงที่สุดก็ตาม แต่ตราบใด ที่ยังไม่มีคำพิพากษาศาลสูงเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น คำสั่งของศาลแพ่งดังกล่าวย่อมมีผลอยู่ ดังนั้น นับแต่วันที่ศาลแพ่งมีคำสั่งเป็นต้นไปทรัพย์พิพาทจึงมิใช่ทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ลูกหนี้ตามคำพิพากษา ทั้งทรัพย์สินของแผ่นดินย่อมไม่อาจยึดเพื่อการบังคับคดีไม่ว่าด้วยเหตุใดตาม ป.พ.พ. มาตรา 1307 ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิขอเฉลี่ยทรัพย์
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอม ให้จำเลยทั้งสองชำระเงินจำนวน 23,485,302.72 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 18,878,400.09 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ตกลงผ่อนชำระรายเดือน หากผิดนัดงวดใดถือว่าผิดนัดทั้งหมด ยอมให้โจทก์บังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 12858, 12855, 12445, 9026, 9027 และ 5138 ตำบลบางโพงพาง อำเภอยานนาวา (เมือง) กรุงเทพมหานคร ของจำเลยที่ 2 ทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาด นำเงินมาชำระหนี้จนครบ แล้วจำเลยทั้งสองผิดนัด โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินดังกล่าวออกขายทอดตลาด
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าเฉลี่ยในทรัพย์สินที่โจทก์ยึดไว้หรือจากเงินที่ขายหรือจำหน่ายทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้ภายหลังที่ได้ชำระหนี้แก่โจทก์แล้ว
โจทก์ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีกาฟังได้ว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยที่ 2 ในคดีหมายเลขแดงที่ 6537/2546 ของศาลชั้นต้น โดยเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2546 ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมให้จำเลยที่ 2 ชำระเงิน 41,750,234 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 12 ต่อปี ของต้นเงิน 37,096,133 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง โดยผ่อนชำระเป็นรายเดือนให้เสร็จสิ้นภายใน 5 ปี แต่จำเลยที่ 2 ผิดนัดไม่ชำระหนี้ ผู้ร้องจึงขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีเพื่อยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 2 ต่อมาวันที่ 9 กันยายน 2548 ศาลแพ่งมีคำสั่งในคดีหมายเลขแดงที่ ฟ.58/2548 ให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 5138, 9026, 9027, 12445, 12855 และ 12858 ตำบลบางโพงพาง อำเภอยานนาวา (เมือง) กรุงเทพมหานคร ของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นทรัพย์พิพาท ตกเป็นของแผ่นดินตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 51 วรรคหนึ่ง โดยให้ผู้คัดค้านนำที่ดินดังกล่าวออกขายทอดตลาดและนำเงินมาชำระหนี้จำนองแก่โจทก์ตามคำพิพากษาในคดีนี้ คดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลฎีกาในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2554 เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2550 เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์พิพาทออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ ส่วนเงินที่เหลือจากการขายทอดตลาด 26,100,651.80 บาท กรมบังคับคดีจ่ายให้แก่ผู้คัดค้าน หลังจากนั้นผู้คัดค้านส่งเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยให้กระทรวงการคลังเพื่อเป็นรายได้ของแผ่นดิน
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ผู้ร้องมีสิทธิขอเฉลี่ยทรัพย์หรือไม่ เห็นว่า แม้ขณะที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ คดีหมายเลขแดงที่ ฟ.58/2548 ของศาลแพ่งจะยังไม่ถึงที่สุดก็ตาม แต่ตราบใดที่ยังไม่มีคำพิพากษาศาลสูงเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น คำสั่งของศาลแพ่งที่ให้ทรัพย์พิพาทตกเป็นของแผ่นดินตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2522 มาตรา 51 วรรคหนึ่ง ในคดีดังกล่าวนั้นย่อมมีผลอยู่ ดังนี้ นับตั้งแต่วันที่ 9 กันยายน 2548 ซึ่งเป็นวันที่ศาลแพ่งมีคำสั่งในคดีหมายเลขแดงที่ ฟ.58/2548 เป็นต้นไป ทรัพย์พิพาทจึงมิใช่ทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ลูกหนี้ตามคำพิพากษา เมื่อผู้ร้องยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์วันที่ 12 พฤศจิกายน 2551 หลังจากที่ศาลแพ่งมีคำสั่งให้ทรัพย์พิพาทตกเป็นของแผ่นดินแล้ว ทั้งทรัพย์สินของแผ่นดินย่อมไม่อาจยึดเพื่อการบังคับคดีไม่ว่าด้วยเหตุใดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1307 ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิขอเฉลี่ยทรัพย์ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ