คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4142/2560

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดให้โจทก์ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูแก่จำเลย 3,600,000 บาท และต่อไปอีกเดือนละ 30,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องแย้งจนกว่าคดีถึงที่สุด การที่โจทก์ยื่นคำร้องขอผ่อนชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูเป็นเดือนละ 50,000 บาท โดยอาศัย พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 162 วรรคหนึ่ง นั้น ไม่อาจทำได้เนื่องจากบทบัญญัติดังกล่าวมุ่งคุ้มครองเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งมีสิทธิที่จะได้รับค่าอุปการะเลี้ยงดูตามคำพิพากษา จึงกำหนดมาตรการขึ้นมาเพื่อเป็นหลักประกันว่า เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะได้รับชำระจริง หาใช่เพื่อกำหนดวิธีการชำระหนี้เป็นก้อนหรือผ่อนชำระให้แตกต่างไปจากคำพิพากษาอันถึงที่สุดไม่ โจทก์มีหน้าที่ตามคำบังคับที่ต้องชำระหนี้ตามคำพิพากษาถึงที่สุดดังกล่าว

ย่อยาว

กรณีสืบเนื่องมาจากศาลฎีกาพิพากษายืน ให้โจทก์ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูแก่จำเลย 3,600,000 บาท และต่อไปอีกเดือนละ 30,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องแย้งจนกว่าคดีถึงที่สุด
จำเลยขอให้ศาลชั้นต้นออกคำบังคับ
โจทก์ยื่นคำร้องขอชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูแก่จำเลยตามคำพิพากษาเป็นรายเดือน เดือนละ 50,000 บาท จนกว่าจะครบ เนื่องจากโจทก์ต้องอุปการะเลี้ยงดูบุตรและมีภาระค่าใช้จ่ายสูงในแต่ละเดือน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คำพิพากษาศาลฎีกาถึงที่สุดแล้ว คู่ความต้องปฏิบัติตามโจทก์ไม่อาจมาร้องขอให้ศาลชั้นต้นไต่สวนและมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงแก้ไขคำพิพากษาศาลฎีกาได้ยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัว พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิยื่นคำร้องขอผ่อนชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูตามคำพิพากษาหรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 162 เป็นบทบัญญัติที่มุ่งคุ้มครองเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งมีสิทธิที่จะได้รับค่าอุปการะเลี้ยงดูตามคำพิพากษา จึงกำหนดมาตรการขึ้นมาเพื่อเป็นหลักประกันว่าเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะได้รับชำระจริง หาใช่เพื่อกำหนดวิธีการชำระหนี้เป็นก้อนหรือผ่อนชำระให้แตกต่างไปจากคำพิพากษาอันถึงที่สุดไม่ นอกจากนี้ในระหว่างการพิจารณาพิพากษาคดีนี้โจทก์โต้แย้งตลอดมาว่า โจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องชำระค่าอุปการะเลี้ยงดู ทั้งโจทก์ก็ไม่ได้เสนอข้อกำหนดเงื่อนไขในการชำระอุปการะเลี้ยงดูเป็นรายเดือนแก่จำเลย โดยโจทก์ปฏิเสธตลอดมาว่าจำเลยไม่มีสิทธิเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูจำเลย เมื่อศาลฎีกามีคำพิพากษาให้โจทก์มีหน้าที่ต้องชำระค่าอุปการะเลี้ยงดู คดีจึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัยว่า โจทก์สมควรชำระค่าอุปการะเลี้ยงดู โดยโจทก์ผ่อนชำระเดือนละ 50,000 บาท แก่จำเลย ตามที่โจทก์ฎีกาแต่อย่างใด โจทก์ฎีกาขอผ่อนชำระหนี้ตามคำพิพากษาของศาลฎีกาเดือนละ 50,000 บาท เมื่อจำเลยปฏิเสธ โจทก์ย่อมมีหน้าที่ตามคำบังคับที่ต้องชำระหนี้ตามคำพิพากษา คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ศาลชั้นต้นไม่ได้สั่งเรื่องค่าฤชาธรรมเนียม เห็นควรสั่งให้ถูกต้อง
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share