แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องอ้างว่าเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทจำเลยที่ 1 จำนวน 213,500 หุ้น ขอให้ศาลมีคำพิพากษาว่าโจทก์เป็นผู้ถือหุ้นดังกล่าว จึงเป็นคดีเกี่ยวกับทรัพย์สินของโจทก์ ต่อมาโจทก์ถูกศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดก่อนที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2555 แต่ศาลไม่มีการแจ้งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของโจทก์มาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ทั้ง ๆ ที่นับแต่โจทก์ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวมีอำนาจฟ้องร้องหรือต่อสู้คดีเกี่ยวกับทรัพย์สินของโจทก์ ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 22 (3) จึงไม่อาจถือได้ว่าในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2555 ศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้โจทก์ทราบตามกฎหมายแล้ว หลังจากนั้นโจทก์ยังคงให้ทนายความยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาและยื่นฎีกาพร้อมคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นฎีกา จึงเป็นกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย รวมทั้งคำสั่งต่าง ๆ ของศาลชั้นต้นอันสืบเนื่องมาจากการดำเนินกระบวนพิจารณาดังกล่าว แม้ต่อมาเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของโจทก์จะยื่นคำแถลงขอเข้าว่าคดีแทนก็หาทำให้กลับเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ชอบด้วยกฎหมายในภายหลังไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์เป็นผู้ถือหุ้นของจำเลยที่ 1 จำนวน 213,500 หุ้น หมายเลขหุ้น 1 ถึง 213500 ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันแจ้งต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร แก้ไขบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นของจำเลยที่ 1 ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาล ให้จำเลยที่ 1 จดแจ้งชื่อและจำนวนหุ้นของโจทก์ลงในทะเบียนผู้ถือหุ้น ห้ามจำเลยที่ 2 ใช้สิทธิในฐานะผู้ถือหุ้นของจำเลยที่ 1 และห้ามยุ่งเกี่ยวกับการดำเนินกิจการของจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ถือหุ้น
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์ 50,000 บาท แทนจำเลยทั้งสอง
โจทก์ฎีกาโดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ก่อนศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกา ปรากฏข้อเท็จจริงในชั้นไต่สวนคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นฎีกาว่า ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์โจทก์เด็ดขาดเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2555 ในคดีล้มละลายหมายเลขแดงที่ ล.5746/2555 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของโจทก์ขอเข้าว่าคดีแทนโจทก์ต่อมาจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอเพิกถอนคำสั่งที่ผิดระเบียบ โดยอ้างว่าศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์โจทก์เด็ดขาด เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2555 หลังจากนั้นการยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกา ขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาและฎีกาของโจทก์เป็นการต้องห้ามโดยชัดแจ้งตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 มาตรา 22 และมาตรา 25 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำร้องขอเข้าว่าคดีแทนโจทก์เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2556 ล่วงพ้นกำหนดเวลายื่นฎีกาแล้ว คำสั่งของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้โจทก์ขยายระยะเวลายื่นฎีกา คำสั่งที่อนุญาตให้โจทก์ดำเนินคดีในชั้นฎีกาอย่างคนอนาถาและคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ จึงขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 ขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า เป็นอุทธรณ์คำสั่งที่สืบเนื่องจากคำสั่งอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาชั้นฎีกาและคำสั่งรับฎีกาของศาลชั้นต้น คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลฎีกา ซึ่งต่อมาศาลฎีกามีคำสั่งว่า ให้รวมไว้วินิจฉัยพร้อมคำพิพากษาศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้โดยอ้างว่าเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทจำเลยที่ 1 จำนวน 213,500 หุ้น ขอให้ศาลมีคำพิพากษาว่าโจทก์เป็นผู้ถือหุ้นดังกล่าว จึงเป็นคดีเกี่ยวกับทรัพย์สินของโจทก์ ต่อมาโจทก์ถูกศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2555 ในคดีล้มละลายหมายเลขแดงที่ ล.5746/2555 ระหว่าง ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ นายธนดลหรือสมชาย ลูกหนี้ ซึ่งเป็นเวลาก่อนที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2555 แต่การอ่านคำพิพากษาดังกล่าวศาลไม่มีการแจ้งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของโจทก์มาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ทั้ง ๆ ที่นับแต่โจทก์ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวมีอำนาจในการฟ้องร้องหรือต่อสู้คดีเกี่ยวกับทรัพย์สินของโจทก์ ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 มาตรา 22 (3) โจทก์จึงไม่มีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาคดีนี้ได้อีก จึงไม่อาจถือได้ว่าในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2555 ศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้โจทก์ทราบตามกฎหมายแล้ว นอกจากนี้หลังจากนั้นโจทก์ยังคงดำเนินกระบวนพิจารณาด้วยตนเองต่อมาโดยให้ทนายความยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกา และยื่นฎีกาฉบับลงวันที่ 25 ธันวาคม 2555 พร้อมคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นฎีกา จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย รวมทั้งคำสั่งต่าง ๆ ของศาลชั้นต้นอันสืบเนื่องมาจากการดำเนินกระบวนพิจารณาดังกล่าว แม้ต่อมาเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของโจทก์จะยื่นคำแถลงขอเข้าว่าคดีแทนโจทก์ ก็หาทำให้กลับเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ชอบด้วยกฎหมายในภายหลังได้ไม่
พิพากษายกคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกา ยกคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นฎีกา และยกฎีกาของโจทก์ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของโจทก์ฟังแล้วจึงดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ