คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15732/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในการพิพากษาคดีแพ่งศาลต้องพิจารณาตามหลักเรื่องภาระการพิสูจน์และการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานว่าฝ่ายใดมีน้ำหนักดีกว่ากัน เมื่อทางนำสืบของโจทก์มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า จำเลยซึ่งดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลใหม่พัฒนา จัดทำโครงการทัศนศึกษาดูงานที่องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านสา อำเภอแจ้ห่ม จังหวัดลำปาง โดยใช้งบประมาณของทางราชการ แต่กลับนำคณะทัศนศึกษาดูงานไปลงแพที่เขื่อนกิ่วลม และมีการจัดเลี้ยงอาหารและสุราแก่คณะเดินทางเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่จำเลย โดยมิได้มีการอบรมและศึกษาดูงานให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ การกระทำของจำเลยเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 57 แห่ง พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 จำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเป็นค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งใหม่ ตามมาตรา 99 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ. ดังกล่าว
การใช้สิทธิเรียกร้องให้จำเลยรับผิดชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าว มิใช่คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ที่ศาลจะต้องถือข้อเท็จจริงตามคดีอาญาที่จำเลยถูกฟ้องขอให้ลงโทษตามมาตรา 57 แห่ง พ.ร.บ. ดังกล่าวแต่อย่างใด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 737,335.25 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 717,290.42 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ที่ 1
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ก่อนสืบพยาน ศาลชั้นต้นเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำฟ้องและคำให้การเพียงพอแก่การวินิจฉัยแล้ว มีคำสั่งงดสืบพยาน
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับ
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์ทั้งสองและจำเลยตามประเด็นข้อพิพาท แล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อทำคำพิพากษาแล้วเสร็จ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 737,335.25 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 717,290.42 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 20 พฤศจิกายน 2550) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ที่ 1 กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสอง เฉพาะค่าทนายความ 20,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยกและให้คืนเงินค่าฤชาธรรมเนียมที่โจทก์ทั้งสองชำระต่อศาล 18,812.50 บาท แก่โจทก์ทั้งสอง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน การคืนเงินค่าฤชาธรรมเนียมแก่โจทก์ทั้งสองให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ.2550 มาตรา 21 วรรคหนึ่ง และให้จำเลยใช้ค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์ 5,000 บาท แทนโจทก์ทั้งสอง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังว่า คณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดลำปาง ประกาศให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดลำปาง อำเภอเกาะคา เขตเลือกตั้งที่ 1 ในวันที่ 14 มีนาคม 2547 ปรากฏว่าจำเลยได้รับการเลือกตั้ง ต่อมาคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดลำปางได้รับคำร้องคัดค้านว่า การเลือกตั้งเป็นไปโดยทุจริตหรือไม่เที่ยงธรรมหรือไม่ถูกต้อง เนื่องจากจำเลยกระทำการฝ่าฝืนมาตรา 57 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 โจทก์ที่ 2 จึงมีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของจำเลยและให้มีการเลือกตั้งใหม่ กับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายในการเลือกตั้งใหม่เป็นเงิน 717,290.42 บาท และให้ดำเนินคดีอาญาแก่จำเลย ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 862/2550 ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้อง
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำการฝ่าฝืนมาตรา 57 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 จนเป็นเหตุให้มีการเลือกตั้งใหม่หรือไม่ ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์มีหน้าที่นำสืบให้รับฟังเป็นยุติว่า จำเลยกระทำการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 มาตรา 57 แต่พยานบุคคลที่โจทก์ทั้งสองนำเข้าสืบไม่มีส่วนรู้เห็นในพฤติการณ์ที่กล่าวอ้างว่าจำเลยกระทำผิดดังกล่าว จึงเป็นพยานบอกเล่าไม่มีน้ำหนักให้รับฟังและศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิจารณาข้อเท็จจริงจากคำวินิจฉัยของโจทก์ที่ 2 ประกอบคำเบิกความของนายทวีเดช โดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นสนับสนุน แล้วพิพากษาให้จำเลยรับผิดชดใช้เงินตามฟ้อง จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84/1 นั้น เห็นว่า ในการพิพากษาคดีแพ่งศาลต้องพิจารณาตามหลักเรื่องภาระการพิสูจน์และการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานว่าฝ่ายใดมีน้ำหนักดีกว่ากัน ทางนำสืบของโจทก์ได้ความจากการไต่สวนของคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดลำปางซึ่งได้สอบปากคำพยานของผู้คัดค้านและผู้ถูกคัดค้านทั้งสองฝ่าย ประกอบคำให้การของพยานคนกลางแล้ว มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าจำเลยซึ่งดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลใหม่พัฒนา จัดทำโครงการทัศนศึกษาดูงานที่องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านสา อำเภอแจ้ห่ม จังหวัดลำปาง โดยใช้งบประมาณของทางราชการ แต่กลับนำคณะทัศนศึกษาดูงานไปลงแพที่เขื่อนกิ่วลม โดยมีการจัดเลี้ยงอาหารและสุราแก่คณะเดินทาง เพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่จำเลย อันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 57 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 แม้จำเลยจะให้การปฏิเสธและนำสืบว่าการจัดโครงการฝึกอบรมและทัศนศึกษาดูงานเป็นไปโดยถูกต้องตามมติของที่ประชุมสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลใหม่พัฒนาและร่างข้อบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2547 ก็ตาม แต่ปรากฏว่ารถโดยสารที่จะนำคณะเดินทางไปศึกษาดูงานเสียตั้งแต่ออกเดินทาง เป็นเหตุให้ต้องเปลี่ยนแปลงกำหนดการไปลงแพที่เขื่อนกิ่วลมแทน ซึ่งมีการจัดเลี้ยงสุราและอาหารแก่คณะเดินทาง โดยมิได้มีการฝึกอบรมและศึกษาดูงานให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์แต่อย่างใด พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลย ข้อเท็จจริงรับฟังว่า การกระทำของจำเลยเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 57 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 จำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเป็นค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งใหม่ ตามมาตรา 99 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ไม่ได้นำสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 862/2550 มาพิจารณาประกอบเพื่อชั่งน้ำหนักพยาน จึงเป็นการรับฟังพยานหลักฐานที่ไม่ครบถ้วนตามที่กฎหมายบัญญัติไว้นั้น เห็นว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ได้วินิจฉัยไว้ว่าสิทธิเรียกร้องคดีนี้มิใช่คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาที่ศาลจะต้องถือข้อเท็จจริงตามคดีอาญา ซึ่งเป็นการใช้ดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานว่า มีน้ำหนักรับฟังได้หรือไม่ เพียงใด อันเป็นการรับฟังพยานหลักฐานที่ครบถ้วนตามกฎหมายแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษามานั้น ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ

Share