แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้ค่าสินไหมทดแทนที่ผู้เสียหายที่ 1 เรียกจาก ว. จำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 336/2549 ของศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดนครราชสีมา จะเป็นจำนวนเดียวกันก็ตาม แต่จำเลยที่ 1 และ ว. เป็นลูกหนี้ร่วมซึ่งต้องรับผิดต่อผู้เสียหายที่ 1 ในเหตุที่ร่วมกันทำละเมิดทำให้ผู้เสียหายที่ 1 ได้รับบาดเจ็บ จึงเป็นกรณีที่บุคคลหลายคนจะต้องชำระหนี้โดยทำนองซึ่งแต่ละคนต้องชำระหนี้สิ้นเชิงได้แต่เพียงครั้งเดียว เจ้าหนี้จะเรียกให้ชำระหนี้จากลูกหนี้แต่คนใดคนหนึ่งสิ้นเชิงหรือแต่โดยส่วนก็ได้ตามแต่จะเลือกตาม ป.พ.พ. มาตรา 291 ผู้เสียหายที่ 1 จึงชอบที่จะเลือกฟ้องจำเลยที่ 1 หรือ ว. คนใดคนหนึ่งเพียงคนเดียวหรือจะเลือกฟ้องทั้งสองคนก็ได้ การที่ผู้เสียหายที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้ผู้เสียหายที่ 1 ในคดีนี้ และยื่นคำร้องขอให้บังคับ ว. ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้ผู้เสียหายที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 336/2549 ของศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดนครราชสีมา เป็นการบังคับชำระหนี้เอากับบุคคลคนละคนกัน จึงไม่เป็นการร้องซ้อนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 173 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 40
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 80, 83, 91,288 ริบหัวกระสุนปืนและเศษตะกั่วลูกกระสุนปืนของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายอัมรินทร์ ผู้เสียหายที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เป็นค่ารักษาพยาบาล 40,000 บาท ค่าป่วยเจ็บและทุกขเวทนาจากการได้รับบาดเจ็บเนื่องจากถูกกระสุนปืนของจำเลยทั้งสองเป็นเวลา 2 เดือน เป็นเงิน 20,000 บาท รวมเป็นเงิน 60,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับจากวันยื่นคำร้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระเงินให้แก่ผู้เสียหายที่ 1 แล้วเสร็จ
จำเลยทั้งสองยื่นคำให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 288 ประกอบมาตรา 80, 83 ส่วนจำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 83 ขณะกระทำความผิดจำเลยทั้งสองอายุ 19 ปี แต่ยังไม่เกิน 20 ปี จำเลยทั้งสองอายุยังน้อยกระทำความผิดไปด้วยความคึกคะนองตามวัย เห็นสมควรลดมาตราส่วนโทษให้คนละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้เสียหายที่ 1 จำคุก 5 ปี ฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้เสียหายที่ 2 จำคุก 5 ปี และฐานร่วมกันฆ่าผู้ตาย จำคุก 7 ปี 6 เดือน รวม 3 กระทง เป็นจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 17 ปี 6 เดือน ส่วนจำเลยที่ 2 มีความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้ตาย จำคุก 7 ปี 6 เดือน ทางนำสืบของจำเลยทั้งสองเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้คนละหนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 11 ปี 8 เดือน คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 5 ปี และให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงินจำนวน 15,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2549 (วันยื่นคำร้อง) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้เสียหายที่ 1 คำขออื่นให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้เสียหายที่ 1 และฐานร่วมกันฆ่าผู้ตายโดยเจตนา เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันฆ่าผู้ตายซึ่งเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 7 ปี 6 เดือน เมื่อรวมกับโทษจำคุกฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้เสียหายที่ 2 แล้ว เป็นจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 12 ปี 6 เดือน ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 8 ปี 4 เดือน ให้ริบหัวกระสุนปืนและเศษตะกั่วลูกกระสุนปืนของกลาง และให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงินจำนวน 15,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 9 ตุลาคม 2549 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สำหรับคดีในส่วนแพ่งที่จำเลยที่ 1 ฎีกาข้อกฎหมายว่า คำขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ฉบับลงวันที่ 25 กันยายน 2549 เป็นคำร้องซ้อนกับคำขอให้บังคับนายวีรวัฒน์ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ฉบับลงวันที่ 31 กรกฎาคม 2549 ที่ผู้เสียหายที่ 1 ยื่นในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 336/2549 ของศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดนครราชสีมา ที่นายวีรวัฒน์ถูกฟ้องเป็นจำเลย เนื่องจากเป็นค่าสินไหมทดแทนจำนวนเดียวกัน นั้น เห็นว่า แม้ค่าสินไหมทดแทนที่ผู้เสียหายที่ 1 จะเรียกร้องจากจำเลยที่ 1 ในคดีนี้ และที่ผู้เสียหายที่ 1 เรียกจากนายวีรวัฒน์ จำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 336/2549 ของศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดนครราชสีมา จะเป็นค่าสินไหมทดแทนจำนวนเดียวกันก็ตาม แต่จำเลยที่ 1 และนายวีรวัฒน์เป็นลูกหนี้ร่วมซึ่งต้องรับผิดต่อผู้เสียหายที่ 1 ในเหตุที่ร่วมกันทำละเมิดทำให้ผู้เสียหายที่ 1 ได้รับบาดเจ็บ จึงเป็นกรณีที่บุคคลหลายคนจะต้องชำระหนี้ โดยทำนองซึ่งแต่ละคนต้องชำระหนี้สิ้นเชิงได้แต่เพียงครั้งเดียว เจ้าหนี้จะเรียกให้ชำระหนี้จากลูกหนี้แต่คนใดคนหนึ่งสิ้นเชิงหรือแต่โดยส่วนก็ได้ตามแต่จะเลือกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 291 ดังนั้น ผู้เสียหายที่ 1 จึงชอบที่จะเลือกฟ้องจำเลยที่ 1 หรือนายวีรวัฒน์คนใดคนหนึ่งเพียงคนเดียว หรือจะเลือกฟ้องทั้งสองคนก็ได้ การที่ผู้เสียหายที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้ผู้เสียหายที่ 1 ในคดีนี้และยื่นคำร้องขอให้บังคับนายวีรวัฒน์ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้ผู้เสียหายที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 336/2549 ของศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดนครราชสีมา เท่ากับว่าผู้เสียหายที่ 1 มีความประสงค์ที่จะฟ้องบุคคลทั้งสองให้รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามสิทธิเรียกร้องที่ตนมีอยู่ ทั้งการยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 และนายวีรวัฒน์ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวเป็นการบังคับชำระหนี้เอากับบุคคลคนละคนกันจึงไม่เป็นการร้องซ้อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 40 ดังที่จำเลยที่ 1 อ้าง ส่วนที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า คำขอบังคับให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ฉบับลงวันที่ 9 ตุลาคม 2549 เป็นคำร้องซ้อนกับคำขอบังคับให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ฉบับลงวันที่ 25 กันยายน 2549 นั้น ปรากฏข้อเท็จจริงในสำนวนว่า ในตอนแรกผู้เสียหายที่ 1 ยื่นคำขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ฉบับลงวันที่ 25 กันยายน 2549 ต่อมาวันที่ 9 ตุลาคม 2549 ผู้เสียหายที่ 1 ยื่นคำขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนฉบับใหม่ โดยแถลงขอให้ศาลชั้นต้นยกเลิกคำขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ฉบับลงวันที่ 25 กันยายน 2549 ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณา ฉบับลงวันที่ 9 ตุลาคม 2549 เห็นว่า การที่ผู้เสียหายที่ 1 ยื่นคำขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนฉบับใหม่โดยแถลงขอให้ศาลชั้นต้นยกเลิกคำขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนฉบับเดิมและศาลอนุญาตนั้น จึงถือว่าไม่มีคำขอฉบับเดิมที่อยู่ในระหว่างพิจารณาคดีของศาลชั้นต้นอีกต่อไป ดังนั้น การที่ผู้เสียหายที่ 1 ยื่นคำขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ฉบับลงวันที่ 9 ตุลาคม 2549 จึงไม่เป็นการร้องซ้อนดังที่จำเลยที่ 1 ฎีกา ฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า เมื่อลดมาตราส่วนโทษให้จำเลยทั้งสองคนละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 และลดโทษให้คนละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว ลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานร่วมกันฆ่าผู้ตาย จำคุก 4 ปี 12 เดือน และฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้เสียหายที่ 2 จำคุก 3 ปี 4 เดือน รวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 7 ปี 16 เดือน จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 4 ปี 12 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3