คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8985/2557

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในการวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 1733 วรรคสอง นั้น จำเป็นต้องฟังข้อเท็จจริงให้เป็นยุติเสียก่อนว่า จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกได้จัดการมรดกเสร็จสิ้นแล้วหรือไม่ และเสร็จสิ้นลงเมื่อใด เมื่อจำเลยที่ 1 ให้การว่าได้เรียกประชุมทายาทเพื่อจัดการมรดกและทายาทตกลงกันว่าให้ที่ดินพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 แต่ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ชำระหนี้แก่บริษัท ท. ทั้งหมด โดยทายาทอื่นไม่ต้องรับผิดชอบ และต่อมาจำเลยที่ 1 และที่ 2 ชำระหนี้และไถ่ถอนจำนองที่ดินจากบริษัท ท. และจำเลยที่ 1 ได้โอนที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2 ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินมรดกแล้ว อันเป็นการให้การต่อสู้ว่าโจทก์ตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกตามที่โจทก์และทายาทอื่นได้ตกลงกันไว้ ซึ่งหากเป็นความจริงตามคำให้การของจำเลยที่ 1 ก็ถือได้ว่าการจัดการมรดกของจำเลยที่ 1 เสร็จสิ้นลงนับแต่จำเลยที่ 1 ไถ่ถอนจำนองทรัพย์มรดกและโอนที่ดินให้จำเลยที่ 2 เข้าถือกรรมสิทธิ์รวม อันเป็นการแบ่งปันทรัพย์มรดกระหว่างทายาท จึงชอบที่ศาลชั้นต้นจะต้องฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวให้ยุติเสียก่อนว่า ได้มีการตกลงกันเช่นนั้นจริงหรือไม่ เพราะหากไม่มีการตกลงกันดังกล่าวไว้ การที่จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกโอนที่ดินอันเป็นมรดกมาเป็นของตัวเองและจำเลยที่ 2 และโอนไปยังจำเลยที่ 3 นั้น ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการแบ่งปันทรัพย์มรดกโดยชอบ การครอบครองที่ดินของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นทายาทของเจ้ามรดกจึงถือได้ว่าเป็นการครอบครองแทนทายาทอื่นและถือไม่ได้ว่าการจัดการมรดกเสร็จสิ้นแล้วตามข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 1 ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นด่วนงดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยทั้งสามกับจำเลยร่วมทั้งสิบเอ็ด และวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่าฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ขาดอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 1733 วรรคสอง และฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ขาดอายุความตามมาตรา 1754 และพิพากษายกฟ้องจึงเป็นการไม่ชอบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 2 และจำเลยร่วมที่ 1 เพิกถอนการจดทะเบียนโอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 86968 (แปลงที่คงเหลือ) ตำบลเขารูปช้าง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา ให้จำเลยที่ 2 และจำเลยร่วมที่ 2 เพิกถอนการจดทะเบียนโอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 91714, 91715, 91717, 91718, 91719 และ 91720 ตำบลเขารูปช้าง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา ให้จำเลยที่ 2 และจำเลยร่วมที่ 3 ที่ 4 เพิกถอนการจดทะเบียนโอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 91716 ตำบลเขารูปช้าง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา ให้จำเลยที่ 3 และจำเลยร่วมที่ 5 ถึงที่ 11 เพิกถอนการจดทะเบียนโอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 86967 ตำบลเขารูปช้าง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 เพิกถอนการจดทะเบียนโอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 10433 ตำบลเขารูปช้าง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา ระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 เฉพาะส่วนที่คงเหลือ ให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 เพิกถอนการจดทะเบียนโอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 86967 และ 86968 ตำบลเขารูปช้าง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา ให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 เพิกถอนการจดทะเบียนโอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 10433 ตำบลเขารูปช้าง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา ระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 3 เฉพาะส่วนที่คงเหลือ ให้จำเลยที่ 1 เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 10433 ตำบลเขารูปช้าง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา ระหว่างจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกและจำเลยที่ 1 ในฐานะส่วนตัว ให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนแบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 10433 ตำบลเขารูปช้าง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา เฉพาะส่วนที่คงเหลือให้แก่โจทก์ เป็นเนื้อที่ 1 ไร่ 1 งาน 82.90 ตารางวา โดยให้จำเลยทั้งสามและจำเลยร่วมทั้งสิบเอ็ดเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย หากจำเลยทั้งสามและจำเลยร่วมทั้งสิบเอ็ดไม่ดำเนินการ ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยที่ 1 ให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา โจทก์ยื่นคำร้องขอให้เรียกนางพิมพ์พจี นางศิริรักษ์ นางกรองกานต์ นางฉลวย นางวาสนา นางสาวปรีดา นายเกษม นายกษิดิศ นางสินีนาถ นางธัญลักษ์และนางนันทา เข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต โดยให้เรียกว่าจำเลยร่วมที่ 1 ถึงที่ 11 ตามลำดับ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า คดีพอวินิจฉัยได้จึงให้งดสืบพยานและได้วินิจฉัยชี้ขาดข้อกฎหมายเบื้องต้นว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ แล้วพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยทั้งสามและจำเลยร่วมทั้งสิบเอ็ด โดยกำหนดค่าทนายความให้ 5,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์ จำเลยทั้งสามและจำเลยร่วมทั้งสิบเอ็ดต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสามว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 ชอบหรือไม่ โดยจำเลยทั้งสามฎีกาว่า เมื่อจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นทายาทที่มีสิทธิได้รับมรดกของนางประไพตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม 2547 แล้ว จึงถือได้ว่าการจัดการมรดกเสร็จสิ้นลงในวันดังกล่าว หากโจทก์ถูกโต้แย้งสิทธิจากการจัดการมรดก โจทก์ชอบที่จะฟ้องจำเลยที่ 1 ภายใน 5 ปี นับแต่วันดังกล่าวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1733 วรรคสอง โจทก์นำคดีนี้มาฟ้องวันที่ 11 มิถุนายน 2553 คดีโจทก์จึงขาดอายุความแล้วและในส่วนที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3 เพื่อเอาทรัพย์มรดกจึงถือเป็นคดีมรดกซึ่งมีอายุความ 1 ปี นับแต่เจ้ามรดกตายหรือนับแต่เมื่อทายาทโดยธรรมได้รู้หรือควรได้รู้ถึงการตายของเจ้ามรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 เมื่อนางประไพเจ้ามรดกถึงแก่ความตายวันที่ 26 พฤศจิกายน 2531 โจทก์จึงฟ้องคดีนี้เกินกว่า 1 ปี นับแต่เจ้ามรดกตาย ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความแล้วเช่นกันนั้น เห็นว่า ในการวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1733 วรรคสอง นั้น จำเป็นต้องฟังข้อเท็จจริงให้เป็นยุติเสียก่อนว่า จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกได้จัดการมรดกเสร็จสิ้นแล้วหรือไม่ และเสร็จสิ้นลงเมื่อใด เมื่อจำเลยที่ 1 ให้การว่า ได้เรียกประชุมทายาทเพื่อจัดการมรดกและทายาทตกลงกันว่า ให้ที่ดินพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 แต่ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ชำระหนี้แก่บริษัทไทยแดวูมอเตอร์เซลส์ จำกัด ทั้งหมด โดยทายาทอื่นไม่ต้องรับผิดชอบและต่อมาจำเลยที่ 1 และที่ 2 ชำระหนี้และไถ่ถอนจำนองที่ดินจากบริษัทไทยแดวูมอเตอร์เซลส์ จำกัด และจำเลยที่ 1 ได้โอนที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2 ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินมรดกแล้ว อันเป็นการให้การต่อสู้ว่าโจทก์ตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกตามที่โจทก์และทายาทอื่นได้ตกลงกันไว้ ซึ่งหากเป็นจริงตามคำให้การของจำเลยที่ 1 ก็ถือได้ว่า การจัดการมรดกของจำเลยที่ 1 เสร็จสิ้นลงนับแต่จำเลยที่ 1 ไถ่ถอนจำนองทรัพย์มรดกและโอนที่ดินให้จำเลยที่ 2 เข้าถือกรรมสิทธิ์รวม อันเป็นการแบ่งปันทรัพย์มรดกตามข้อตกลงระหว่างทายาท จึงชอบที่ศาลชั้นต้นจะต้องฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวให้ยุติเสียก่อนว่า ได้มีการตกลงกันเช่นนั้นจริงหรือไม่เสียก่อน เพราะหากไม่มีการตกลงกันดังกล่าวไว้ การที่จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกโอนที่ดินอันเป็นมรดกมาเป็นของตนเองและจำเลยที่ 2 และโอนไปยังจำเลยที่ 3 นั้น ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการแบ่งปันทรัพย์มรดกโดยชอบ การครอบครองที่ดินของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นทายาทของเจ้ามรดกนั้น จึงถือได้ว่าเป็นการครอบครองแทนทายาทอื่นและถือไม่ได้ว่าการจัดการมรดกเสร็จสิ้นลงแล้วตามข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 1 ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นด่วนงดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยทั้งสามกับจำเลยร่วมทั้งสิบเอ็ด แล้ววินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า ฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1733 วรรคสอง และฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ขาดอายุความตามมาตรา 1754 และพิพากษายกฟ้อง จึงเป็นการไม่ชอบ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์ จำเลยทั้งสามและจำเลยร่วมทั้งสิบเอ็ดต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสามฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share