คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10444/2556

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ศาลชั้นต้นมิได้สั่งอนุญาตให้โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา แต่การที่จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้วไม่คัดค้านและศาลชั้นต้นส่งสำนวนไปศาลฎีกา ถือว่าศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์อุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 223 ทวิ วรรคหนึ่ง แล้ว
พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 มาตรา 50 วรรคห้า บัญญัติให้เงินประจำตำแหน่งไม่ถือเป็นเงินเดือนเพียงเพื่อไม่ให้นำเงินประจำตำแหน่งมาเป็นเกณฑ์ในการคำนวณบำเหน็จบำนาญตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการเฉกเช่นเงินเดือนเท่านั้น เงินประจำตำแหน่งเป็นเงินที่หน่วยงานราชการจ่ายให้แก่บุคคลนั้นขณะดำรงตำแหน่ง จึงถือเป็นรายได้อื่นในลักษณะเดียวกันกับเงินเดือนของข้าราชการที่ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 286 (2) โจทก์ย่อมไม่อาจบังคับคดีเอาจากเงินประจำตำแหน่งของจำเลยได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 420,000 บาท ให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 5 พฤศจิกายน 2552) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่าทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี คำขออื่นให้ยก และเจ้าพนักงานบังคับคดีมีคำสั่งอายัดเงินประจำตำแหน่งของจำเลย ต่อมาเจ้าพนักงานบังคับคดีมีหนังสือรายงานศาลชั้นต้นให้เพิกถอนการอายัดเงินประจำตำแหน่งของจำเลยดังกล่าวเนื่องจากเห็นว่าจำเลยประกอบอาชีพรับราชการ เงินประจำตำแหน่งพยาบาลวิชาชีพของจำเลยไม่อยู่ในข่ายความรับผิดแห่งการบังคับคดี ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งให้เพิกถอนการอายัดและให้โจทก์คืนเงินที่ได้รับไปแล้ว
โจทก์ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของศาลชั้นต้นที่มีคำสั่งให้เพิกถอนการอายัดเงินประจำตำแหน่งของจำเลยและให้โจทก์คืนเงินที่ได้รับไปแล้ว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ แม้ศาลชั้นต้นมิได้สั่งอนุญาตให้โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา แต่การที่จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้วไม่คัดค้านและศาลชั้นต้นส่งสำนวนไปยังศาลฎีกา ถือว่าศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์อุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ วรรคหนึ่ง แล้ว
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า เงินประจำตำแหน่งพยาบาลวิชาชีพของจำเลยอยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 286 บัญญัติว่า “ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งกฎหมายอื่น เงินหรือสิทธิเรียกร้องเป็นเงินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาต่อไปนี้ ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี…(2) เงินเดือน ค่าจ้าง…หรือรายได้อื่นในลักษณะเดียวกันของข้าราชการ เจ้าหน้าที่ หรือลูกจ้างในหน่วยราชการ…” แม้พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 มาตรา 50 วรรคห้า จะบัญญัติให้เงินประจำตำแหน่งไม่ถือเป็นเงินเดือน ก็เพียงเพื่อวัตถุประสงค์ไม่ให้นำเงินประจำตำแหน่งมาเป็นเกณฑ์ในการคำนวณบำเหน็จบำนาญตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการเฉกเช่นเงินเดือนเท่านั้น แต่เงินประจำตำแหน่งเป็นเงินที่หน่วยงานราชการได้จ่ายให้แก่บุคคลนั้นขณะที่ดำรงตำแหน่งตามประเภท สายงานและระดับนั้น ๆ ตามบัญชีอัตราเงินประจำตำแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญที่กำหนดในกฎ ก.พ. จึงถือว่าเงินประจำตำแหน่งเป็นรายได้อื่นในลักษณะเดียวกันกับเงินเดือนของข้าราชการที่ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 286 (2) ดังกล่าว เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า จำเลยประกอบอาชีพรับราชการในตำแหน่งและสายงานพยาบาลวิชาชีพ สังกัดโรงพยาบาลพังงา โจทก์ย่อมไม่อาจบังคับคดีเอาจากเงินประจำตำแหน่งของจำเลยได้ ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งอายัดเงินประจำตำแหน่งของจำเลย และให้โจทก์คืนเงินส่วนที่ได้รับไปแล้วนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ

Share