แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 6 เป็นเครือข่ายของขบวนการค้ายาเสพติด ต้องการขายเมทแอมเฟตามีน พยานโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจจึงปลอมตัวไปติดต่อล่อซื้อกับจำเลยที่ 6 ในครั้งแรกจำเลยที่ 6 เสนอขายเมทแอมเฟตามีน 300,000 เม็ด ราคาเม็ดละ 65 บาท มีการขอดูเงินที่จะซื้อแล้ว จำเลยที่ 6 ขอรับเงินก่อน พยานโจทก์ไม่ยอม ต่อมาจำเลยที่ 6 พาจำเลยที่ 1 มาพบพยานโจทก์และมีการแนะนำจำเลยที่ 1 ให้รู้จักกับพยานโจทก์ในครั้งนี้จำเลยที่ 6 เสนอขายเมทแอมเฟตามีน 100,000 เม็ด ราคาเม็ดละ 32 บาท มีการขอดูเงินก่อนและพวกจำเลยที่ 1 จะขอรับเงินครึ่งหนึ่งก่อนส่งมอบเมทแอมเฟตามีน พยานโจทก์ไม่ยอม หลังจากนั้น 2 เดือนเศษ ต่อมาจำเลยที่ 1 ติดต่อกับพยานโจทก์โดยตรง เป็นเหตุให้จับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ได้ โดยจำเลยที่ 6 ไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ปรากฏว่าระหว่างที่ติดต่อกับจำเลยที่ 1 มีการใช้โทรศัพท์ติดต่อกับจำเลยที่ 6 ทั้งฟังไม่ได้ว่าเมทแอมเฟตามีนของกลางเป็นส่วนหนึ่งของเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยที่ 6 เป็นผู้บอกขาย ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 6 เป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ในการมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้เพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนของกลาง แต่ถือว่าการซื้อขายเมทแอมเฟตามีนของกลางเป็นผลสำเร็จได้จากการชี้ช่องของจำเลยที่ 6 ซึ่งอยู่ในเครือข่ายค้ายาเสพติดด้วยกันกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 6 จึงเป็นผู้สนับสนุนในการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้แก่พยานโจทก์ ซึ่งศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยที่ 6 ได้เพราะไม่เกินคำขอของโจทก์ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหนึ่ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งหกตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 102 และริบเมทแอมเฟตามีน โทรศัพท์เคลื่อนที่ รถจักรยานยนต์และกระเป๋าเป้แบบสะพายของกลาง
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และที่ 5 ให้การรับสารภาพ
จำเลยที่ 4 และที่ 6 ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งหกมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2) (ที่ถูก มาตรา 15 วรรคหนึ่ง วรรคสาม (2)), 66 วรรคสาม ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท แต่ละบทมีอัตราโทษเท่ากัน ลงโทษฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเพียงกระทงเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งหก จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และที่ 5 ให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่ง ส่วนจำเลยที่ 4 และที่ 6 ทางนำสืบเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละหนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (1) (2) คงจำคุกจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และที่ 5 มีกำหนดคนละ 50 ปี จำคุกจำเลยที่ 4 และที่ 6 ตลอดชีวิต ริบเมทแอมเฟตามีน โทรศัพท์เคลื่อนที่ รถจักรยานยนต์และกระเป๋าเป้แบบสะพายของกลาง
จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 อุทธรณ์
ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 5 จำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตายสิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (1) ศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีคำสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน
จำเลยที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 โดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดคัดค้านว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 และที่ 5 ร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 28,000 เม็ด ของกลางไว้เพื่อจำหน่ายและร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนของกลาง แก่เจ้าพนักงานตำรวจซึ่งปลอมตัวเป็นผู้ล่อซื้อ คดีมีปัญหาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 4 และที่ 6 ร่วมกระทำความผิดด้วยตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 หรือไม่ พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักมั่นคงฟังได้ว่า จำเลยที่ 4 ร่วมกระทำความผิดด้วยกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 และที่ 5 ในการมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้เพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนของกลางที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันให้ลงโทษจำเลยที่ 4 มานั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 4 ฟังไม่ขึ้น
สำหรับจำเลยที่ 6 นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เหตุที่มีการวางแผนล่อซื้อจนนำไปสู่การจับกุมจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ได้ในที่สุดพร้อมเมทแอมเฟตามีนของกลางก็เนื่องจากมีสายลับแจ้งว่า จำเลยที่ 6 ต้องการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ร้อยตำรวจเอกอรุณศักดิ์ พยานโจทก์ ซึ่งเป็นหัวหน้าชุดศูนย์ปฏิบัติการต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติดตำรวจภูธรภาค 5 จึงได้วางแผนกำหนดให้สิบตำรวจเอกเดชากับสิบตำรวจเอกคนัง พยานโจทก์ปลอมตัวไปทำการติดต่อล่อซื้อกับจำเลยที่ 6 มีการบันทึกภาพการเคลื่อนไหวของจำเลยที่ 6 อย่างเป็นระยะต่อเนื่องกัน เริ่มแต่จำเลยที่ 6 เสนอขายเมทแอมเฟตามีนจำนวน 100,000 เม็ด เม็ดละ 65 บาท ผ่านสายลับที่บริเวณโรงแรมช้างเผือก ถนนโชตนา ในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2548 จำเลยที่ 6 พร้อมสายลับมาพบปะกับสิบตำรวจเอกคนังที่ลานจอดรถห้างริมปิงโชตนา ถนนเชียงใหม่ – พร้าว ในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2548 ซึ่งปรากฏตามคำเบิกความของสิบตำรวจเอกคนังว่า ครั้งนี้จำเลยที่ 6 เสนอขายเมทแอมเฟตามีนจำนวน 300,000 เม็ด ราคาเม็ดละ 65 บาท สายลับได้แนะนำให้จำเลยที่ 6 และสิบตำรวจเอกคนังรู้จักกัน มีการขอดูเงินที่จะซื้อ จำเลยที่ 6 จะขอรับเงินไปก่อนแล้วให้ตามไปรับเมทแอมเฟตามีนแต่สิบตำรวจคนังไม่ยอม หลังจากนั้นจำเลยที่ 6 มากับจำเลยที่ 1 พบปะกับสิบตำรวจเอกคนังที่หน้าธนาคารกรุงไทย จำกัด(มหาชน) สาขาถนนช้างคลาน ในวันที่ 16 ธันวาคม 2548 ซึ่งปรากฏตามคำเบิกความของสิบตำรวจเอกคนังว่า ครั้งนี้จำเลยที่ 6 เสนอขายเมทแอมเฟตามีนจำนวน 100,000 เม็ด ราคาเม็ดละ 32 บาท จำเลยที่ 6 ได้แนะนำให้จำเลยที่ 1 และ สิบตำรวจเอกคนังรู้จักกัน มีการขอดูเงินที่จะซื้อเหมือนเช่นครั้งก่อน แต่ไม่อาจตกลงกันได้เพราะพวกของจำเลยที่ 1 ที่ตามมาสมทบจะขอรับเงินไปก่อนครึ่งหนึ่ง ซึ่งสิบตำรวจเอกคนังไม่ยอม จำเลยที่ 6 เบิกความยอมรับว่าเป็นบุคคลตามภาพถ่ายดังกล่าวมาข้างต้น จึงฟังได้ในเบื้องต้นโดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยที่ 6 เป็นเครือข่ายคนหนึ่งของขบวนการค้ายาเสพติดที่ปรากฏตัวออกมาเจรจาซื้อขายกับสิบตำรวจเอกคนังกับพวก แต่ในวันเกิดเหตุผู้ที่โทรศัพท์ติดต่อบอกขายเมทแอมเฟตามีนมายังสิบตำรวจเอกเดชาเป็นจำเลยที่ 1 โดยบอกขายจำนวน 60,000 เม็ด ราคาเม็ดละ 48 บาท แล้วแจ้งในเวลาต่อมาว่ามีขายให้เพียง 28,000 เม็ด จนนำไปสู่การล่อซื้อและเข้าจับกุมจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ได้ในวันเดียวกันนั้น พร้อมเมทแอมเฟตามีนของกลางจำนวน 28,000 เม็ด ที่บอกขายและนำมาส่งมอบ โดยไม่ปรากฏว่ามีจำเลยที่ 6 เข้าเกี่ยวข้องด้วย การปรากฏตัวของจำเลยที่ 6 ครั้งหลังสุดห่างจากวันเกิดเหตุถึง 2 เดือนเศษ ไม่ปรากฏว่าระหว่างนั้นมีการใช้โทรศัพท์ติดต่อกันระหว่างจำเลยที่ 6 กับสิบตำรวจเอกคนังกับพวก ตามคำเบิกความของสิบตำรวจเอกคนังที่ตอบคำถามค้านก็ว่า ไม่ทราบว่าจำเลยทั้งหกจะเป็นเจ้าของเมทแอมเฟตามีนของกลางหรือไม่ ซึ่งเท่ากับฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 6 เป็นเจ้าของเมทแอมเฟตามีนของกลาง ทั้งไม่ได้ความว่าเมทแอมเฟตามีนของกลางเป็นส่วนหนึ่งของเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยที่ 6 เป็นผู้บอกขาย จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 6 เป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ในการมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้เพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนของกลางตามที่โจทก์ฟ้องดังที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษมา แต่ก็ถือได้ว่าการซื้อขายเมทแอมเฟตามีนของกลางรายนี้เป็นผลสำเร็จได้จากการชี้ช่องของจำเลยที่ 6 ซึ่งอยู่ในเครือข่ายค้ายาเสพติดด้วยกันกับจำเลยที่ 1 ให้ได้รู้จักกับสิบตำรวจเอกเดชาและสิบตำรวจเอกคนังในการติดต่อซื้อขายเมทแอมเฟตามีน จำเลยที่ 6 จึงเป็นผู้สนับสนุนในการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนของกลางของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ให้แก่สิบตำรวจเอกเดชาและสิบตำรวจเอกคนึง ซึ่งศาลฎีกามีอำนาจลงโทษจำเลยที่ 6 ได้เพราะไม่เกินคำขอของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหนึ่ง ฎีกาของจำเลยที่ 6 ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 6 ในข้อหาร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำเลยที่ 6 คงมีความผิดตามพระราช บัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคสาม ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 ให้ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต เมื่อลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 แล้ว คงจำคุกจำเลยที่ 6 มีกำหนด 33 ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5