แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้โจทก์บรรยายฟ้องว่าการที่ ห. กับ ส. สมคบกันโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายอันเป็นการฉ้อฉลโจทก์ และขอให้เพิกถอนสัญญาระหว่าง ห. กับ ส. และจำเลยเสีย คำฟ้องของโจทก์ก็ไม่เป็นการฟ้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัย เพราะโจทก์มีคำขอ ให้บังคับจำเลยโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ด้วย หาใช่เป็นการฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมใดที่ทำขึ้นอันเป็นการให้โจทก์เสียเปรียบไม่ คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นคำฟ้องขอเรียกทรัพย์คืนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336 ซึ่งไม่มีกำหนดอายุความ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินระหว่างนายเหลือบและนายสมนึกกับจำเลย และบังคับให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ สารบบเลขที่ 109 เล่มที่ 7 หน้า 134 ตำบลตูมใต้ อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี เนื้อที่ 82 ตารางวา ให้แก่โจทก์ที่ 1 หรือโจทก์ที่ 2 หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ให้จำเลยหรือสำนักงานที่ดินจังหวัดอุดรธานี สาขาอำเภอกุมภวาปี ส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งสองเพื่อดำเนินการจดทะเบียนโอนที่ดินต่อไป
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) สารบบเลขที่ 109 เล่ม 7 หน้า 134 ตำบลตูมใต้ อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี เนื้อที่ 82 ตารางวา ระหว่างนายเหลือบ นายสำนึก โดยนายอ้อม ผู้ทำการแทนกับจำเลย ให้จำเลยจดทะเบียนโอนสิทธิในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) ดังกล่าวเนื้อที่ 82 ตารางวา ให้แก่โจทก์ที่ 1 หรือโจทก์ที่ 2 หากจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ให้จำเลยชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังได้ว่า เดิมที่ดินแปลงพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เล่ม (7) 43 หน้า 134 (ส.ค. 1 หน้า 109) หมู่ที่ 25 ตำบลตูมใต้ อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี ซึ่งเป็นของนายเหลือบกับนายสมนึก เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2517 นายเหลือบกับนายสมนึกขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยในราคา 4,000 บาท
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่าฟ้องของโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 240 หรือไม่นั้น เห็นว่า แม้โจทก์บรรยายฟ้องว่าการที่นายเหลือบกับนายสมนึกสมคบกันโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นการฉ้อฉลโจทก์และขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายระหว่างนายเหลือบกับนายสมนึกและจำเลยเสีย คำฟ้องของโจทก์ก็ไม่เป็นการฟ้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉล ตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัย เพราะโจทก์มีคำขอให้บังคับจำเลยโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ด้วย หาใช่เป็นการฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมใดที่ทำขึ้นอันเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบไม่ คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นคำฟ้องขอเรียกทรัพย์คืนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 ซึ่งไม่มีกำหนดอายุความ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายกฟ้องเนื่องจากเห็นว่า คดีขาดอายุความไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
อนึ่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นส่งผลให้คำพิพากษาศาลชั้นต้นสิ้นผลบังคับไปทั้งหมด แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 คงพิพากษาแต่เฉพาะค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์เท่านั้น โดยไม่ได้พิพากษาไปถึงค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นด้วยอันเป็นการไม่ชอบ ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5), 246, 247
พิพากษากลับให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เว้นแต่ข้อความใดระบุถึงโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ให้หมายถึงโจทก์ แต่ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) สารบบเลขที่ 109 เล่ม 7 หน้า 134 ตำบลตูมใต้ อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี ให้แก่โจทก์นั้น ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าจำเลยมีหน้าที่จดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ ศาลฎีกาจึงไม่บังคับให้ ให้ยกคำขอข้อนี้เสียให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์ โดยกำหนด ค่าทนายความให้รวม 9,000 บาท