แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความผิดตาม พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 มาตรา 114 วรรคสาม เป็นการแจ้งหรือให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง ซึ่งมาตรา 4 ให้หมายถึง คณะกรรมการการเลือกตั้งตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งแต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยกระทำการอันเป็นเท็จด้วยการใช้เอกสารปลอมร้องเรียนต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดมหาสารคาม ดังนั้นการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 มาตรา114 วรรคสอง เท่านั้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 264, 268 พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 มาตรา 114และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของจำเลยมีกำหนด 10 ปี
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 วรรคสอง, 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 83 พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 มาตรา 114 วรรคหนึ่งวรรคสองและวรรคสาม การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม จำเลยเป็นผู้ใช้เอกสารปลอมที่เป็นผู้ปลอมขึ้น ให้ลงโทษฐานใช้เอกสารปลอมตามมาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264 วรรคสอง แต่กระทงเดียวตามมาตรา 268 วรรคสอง จำคุก 1 ปี ฐานกระทำการอันเป็นเท็จโดยร่วมกันแจ้งหรือให้ถ้อยคำอันเป็นเท็จต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งเพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจผิดว่าผู้สมัครกระทำการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 และเป็นการกลั่นแกล้งให้ผู้สมัครถูกเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งและไม่ให้มีการประกาศผลการเลือกตั้ง จำคุก 7 ปี รวมจำคุก 8 ปี ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของจำเลยมีกำหนด 10 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 83 พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 มาตรา 114 วรรคหนึ่ง วรรคสอง และวรรคสามการกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 7 ปี และให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของจำเลยมีกำหนด 10 ปี ให้ยกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานร่วมกันปลอมเอกสารและคำขออื่นให้ยก
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 หรือไม่ เห็นว่า จากทางนำสืบของโจทก์ฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้ยื่นหนังสือประกอบการร้องเรียน ซึ่งเป็นเอกสารปลอมต่อประธานและคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดมหาสารคามว่านายณรงค์ผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด กระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งด้วยการใช้เงินซื้อเสียง ตามสำเนาภาพถ่ายหนังสือร้องเรียนโดยใช้หรืออ้างเอกสารซึ่งเป็นหนังสือที่มีลายมือชื่อของผู้เสียหายทั้งสิบลงชื่อไว้ว่าเป็นพยานผู้รู้เห็นการซื้อเสียงของนายณรงค์โดยได้รับแจกเงินจากนางแพงเพื่อเป็นสินจ้างลงคะแนนให้แก่นายณรงค์เป็นหลักฐานประกอบการร้องเรียนดังกล่าว จึงฟังได้ว่าโจทก์ได้นำสืบพยานหลักฐานถึงการกระทำของจำเลยว่าจำเลยเป็นผู้ใช้หรืออ้างเอกสารปลอมต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดมหาสารคาม โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหายทั้งสิบ นายณรงค์ คณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดมหาสารคามและประชาชน ครบองค์ประกอบความผิดตามคำฟ้องแล้ว ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่ทราบว่าเป็นเอกสารปลอมนั้น ย่อมต้องอาศัยพฤติการณ์การกระทำเป็นเครื่องชี้เจตนาของจำเลยได้ความว่า จำเลยจบการศึกษาระดับปริญญาโท และเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดมหาสารคาม โดยมีนายณรงค์ผู้สมัคร ผู้ถูกร้องเป็นคู่แข่ง เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2547 นางจันทร์เพ็ญซึ่งจำเลยอ้างว่าไม่เคยรู้จักมาก่อนได้นำธนบัตรจำนวน 200 บาท มาให้จำเลยใช้เป็นหลักฐานในการร้องเรียนนายณรงค์ว่าใช้เงินแจกชาวบ้านเพื่อซื้อเสียง แต่จำเลยไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริงจากนางจันทร์เพ็ญ หรือพานางจันทร์เพ็ญไปร้องเรียนต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดมหาสารคามหรือเจ้าพนักงานตำรวจแต่อย่างใด ไปใช้เป็นหลักฐานร้องเรียนนายณรงค์ต่อประธานและคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดมหาสารคาม ด้วยตนเองในวันที่ 22 มีนาคม 2547 อันเป็นเวลาภายหลังจากจำเลยทราบผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการว่านายณรงค์ได้รับเลือกตั้งแล้วถึง 8 วัน ซึ่งในช่วงดังกล่าวจำเลยมีเวลาเพียงพอที่จะตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าข้อความ มีมูลความจริงหรือไม่ ทั้งการตรวจสอบก็ไม่เป็นการยาก เพราะมีรายชื่อผู้เสียหายมากถึงสิบคนร่วมกันลงชื่อในเอกสารดังกล่าว อีกประการหนึ่ง จำเลยก็เบิกความว่า ก่อนวันเลือกตั้ง 1 วัน จำเลยเห็นนายณรงค์แจกเงินซื้อเสียง แต่จำเลยไม่ได้แจ้งต่อเจ้าพนักงานตำรวจให้จับกุมนายณรงค์ในวันนั้น เพื่อเป็นการป้องกันรักษาสิทธิของตนในฐานะผู้สมัครรับเลือกตั้ง จำเลยเพิ่งไปร้องเรียนภายหลังจากที่จำเลยไม่ได้รับเลือกตั้งแล้ว จึงเป็นข้อพิรุธอีกเช่นกัน ตามพฤติการณ์แห่งคดีฟังได้ว่า จำเลยมีส่วนร่วมรู้เห็นกับนางจันทร์เพ็ญนำอันเป็นเอกสารปลอมไปใช้เป็นหลักฐานร้องเรียนต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดมหาสารคามว่านายณรงค์ผู้รับสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดมหาสารคามใช้เงินซื้อเสียงเลือกตั้ง ซึ่งเป็นความเท็จ เพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจผิดว่านายณรงค์กระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งอันอาจทำให้นายณรงค์ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งหรือเพื่อไม่ให้มีการประกาศผลการเลือกตั้ง จำเลยจึงมีความผิดดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัย ส่วนฎีกาข้ออื่นของจำเลยไม่เป็นสาระที่จะทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไปจึงไม่จำต้องวินิจฉัย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาว่าการกระทำของจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 มาตรา 114 วรรคหนึ่ง วรรคสองและวรรคสาม นั้น เห็นว่า ความผิดตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 มาตรา 114 วรรคสาม เป็นการแจ้งหรือให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง ซึ่งมาตรา 4 ให้หมายถึงคณะกรรมการการเลือกตั้งตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง แต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยกระทำการอันเป็นเท็จด้วยการใช้เอกสารปลอมร้องเรียนต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดมหาสารคาม ดังนั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 มาตรา 114 วรรคสอง เท่านั้น ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 มาตรา 114 วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 5 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4