คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 18531/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนโจทก์ซื้อที่ดินจากธนาคาร น. โดยได้ออกเงินทดรองชำระราคาที่ดินพิพาทแทนโจทก์ไปและใส่ชื่อจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทไว้แทนโจทก์ จำเลยที่ 1 จึงชอบที่จะเรียกเอาเงินชดใช้จากโจทก์ซึ่งเป็นตัวการได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 816 วรรคหนึ่ง เมื่อโจทก์ค้างชำระค่าที่ดินพิพาทแก่จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ในฐานะตัวแทนของโจทก์ชอบที่จะยึดหน่วงทรัพย์สินอย่างใดๆ ของตัวการอันตกอยู่ในความครอบครองของตนเพราะเป็นตัวแทนนั้นเอาไว้ได้จนกว่าจะได้รับเงินบรรดาค้างชำระแก่ตนเพราะการเป็นตัวแทนตาม ป.พ.พ. มาตรา 819 จำเลยที่ 1 จึงไม่จำต้องส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) และจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์จนกว่าโจทก์จะได้ชำระค่าที่ดินพิพาทจนครบถ้วน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้มีคำสั่งเพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 1 ส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) สารบบเล่ม 51 หน้า 80 หมู่ที่ 1 ตำบลพังตรุ อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี หรือโฉนดที่ดินเลขที่ 38416 ตำบลพังตรุ อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี แก่โจทก์ และดำเนินการแก้ไขเปลี่ยนแปลงผู้ถือสิทธิในที่ดินเป็นชื่อโจทก์ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา และขอให้มีคำสั่งว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) หรือโฉนดที่ดินดังกล่าวสูญหาย และให้เจ้าพนักงานที่ดินออกใบแทนใหม่แล้วทำการเปลี่ยนแปลงรายการทะเบียนเป็นชื่อโจทก์เป็นผู้ถือสิทธิหรือกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าว
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมโอนสิทธิในการขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 1 ส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) สารบบเล่ม 51 หน้า 80 หมู่ที่ 1 ตำบลพังตรุ อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี หรือโฉนดที่ดินเลขที่ 38416 ตำบลพังตรุ อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี แก่โจทก์ และดำเนินการแก้ไขเปลี่ยนแปลงชื่อผู้ถือสิทธิในที่ดินดังกล่าวเป็นชื่อโจทก์ หากจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนา และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอที่ให้จำเลยที่ 1 ส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) ตำบลพังตรุ อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี หรือโฉนดที่ดินเลขที่ 38416 ตำบลพังตรุ อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 โดยโจทก์และจำเลยทั้งสองไม่ได้โต้แย้งในชั้นฎีกาว่า เดิมที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมีเอกสารสิทธิเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) ตั้งอยู่หมู่ที่ 1 ตำบลพังตรุ อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี เนื้อที่ 27 ไร่ 2 งาน 77 ตารางวา ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด จดทะเบียนขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 เมื่อปี 2534 จำเลยที่ 1 ฟ้องขับไล่โจทก์ออกจากที่ดินพิพาท ศาลฎีกามีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2539 เป็นคดีหมายเลขแดงที่ 814/2539 โดยวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 ซื้อที่ดินพิพาทในฐานะตัวแทนโจทก์ จึงไม่มีสิทธิขับไล่โจทก์ออกจากที่ดินพิพาท ต่อมาจำเลยที่ 1 จดทะเบียนขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ขอออกโฉนดที่ดินสำหรับที่ดินพิพาทและได้รับโฉนดที่ดิน เป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 38416 ตำบลพังตรุ อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี สำหรับฎีกาของจำเลยทั้งสองที่ว่า โจทก์ทราบว่าจำเลยที่ 1 จดทะเบียนขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 เป็นการตีใช้หนี้และได้ให้สัตยาบันการกระทำของจำเลยที่ 1 ในฐานะตัวแทนแล้วจึงผูกพันโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิเพิกถอนการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 เห็นว่า ปัญหาดังกล่าวมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 7 จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า จำเลยที่ 1 ต้องส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) หรือโฉนดที่ดินสำหรับที่ดินพิพาท และจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 หรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ในการที่จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจากธนาคารนครหลวงไทย จำกัด นั้น จำเลยที่ 1 ได้ออกเงินทดรองชำระราคาที่ดินพิพาทแทนโจทก์ไป จำเลยที่ 1 จึงชอบที่จะเรียกเอาเงินชดใช้จากโจทก์ซึ่งเป็นตัวการได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 816 วรรคหนึ่ง ปัญหามีว่าโจทก์ชดใช้เงินที่จำเลยที่ 1 ทดรองจ่ายค่าที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 ครบถ้วนแล้วหรือไม่ โจทก์เบิกความกลับไปกลับมาไม่อยู่กับร่องกับรอย ฟังไม่ได้แน่ชัดว่าได้ชำระหนี้ค่าที่ดินพิพาทคืนให้แก่จำเลยที่ 1 หมดสิ้นแล้ว ประกอบกับข้อเท็จจริงปรากฏจากคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีหมายเลขแดงที่ 814/2539 ว่า หลังจากจำเลยที่ 1 ชำระค่าที่ดินพิพาทให้แก่ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด งวดแรก 150,000 บาท แล้ว จำเลยที่ 1 ชำระอีกปีละ 70,000 บาท และชำระที่เหลือทั้งหมด 490,000 บาท แล้วจดทะเบียนรับโอนที่ดินพิพาทจากธนาคารนครหลวงไทย จำกัด เมื่อพิจารณาว่า โจทก์มีคดีพิพาทกับจำเลยที่ 1 โดยถูกจำเลยที่ 1 ฟ้องขับไล่ออกจากที่ดินพิพาทตั้งแต่ปี 2534 ซึ่งศาลฎีกามีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2539 และโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีนี้เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2547 จึงไม่น่าเชื่อว่าในระหว่างที่มีคดีพิพาทกันอยู่เช่นนี้โจทก์จะชำระหนี้ด้วยอ้อยให้แก่จำเลยที่ 1 เป็นการหักกลบลบหนี้ หากมีการชำระหนี้ด้วยอ้อยจริงก็น่าจะมีการทำบันทึกเป็นหลักฐานหรือมีพยานรู้เห็น โจทก์เพียงแต่อ้างตนเองเป็นพยานเบิกความลอย ๆ โดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นสนับสนุนจึงมีน้ำหนักน้อยในการรับฟัง ส่วนจำเลยที่ 1 แม้จะอ้างตนเองเป็นพยานเพียงปากเดียวเช่นกันว่าโจทก์ยังไม่ได้ชำระค่าที่ดินพิพาทให้และไม่มีพยานหลักฐานอื่นสนับสนุนก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 ไป นับว่ามีเหตุผลให้รับฟังถึงสาเหตุที่ไม่ติดใจฟ้องร้องเรียกให้โจทก์ชำระค่าที่ดินพิพาท พยานหลักฐานของจำเลยที่ 1 มีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ยังค้างชำระค่าที่ดินพิพาทแก่จำเลยที่ 1 และนางวีนัส แต่เนื่องจากจำเลยที่ 1 มิได้ฟ้องแย้งให้โจทก์ชำระค่าที่ดินพิพาท จึงไม่เป็นประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่าโจทก์ค้างชำระค่าที่ดินพิพาทแก่จำเลยที่ 1 และนางวีนัสเพียงใด เป็นกรณีที่จำเลยที่ 1 และนางวีนัสจะต้องใช้สิทธิเรียกร้องให้โจทก์ชำระหนี้ต่อไป เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ยังค้างชำระค่าที่ดินพิพาทแก่จำเลยที่ 1 และนางวีนัสแล้ว จำเลยที่ 1 ในฐานะตัวแทนของโจทก์ชอบที่จะยึดหน่วงทรัพย์สินอย่างใด ๆ ของตัวการอันตกอยู่ในความครอบครองของตนเพราะเป็นตัวแทนนั้นเอาไว้ได้จนกว่าจะได้รับเงินบรรดาค้างชำระแก่ตนเพราะการเป็นตัวแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 819 ดังนั้น จำเลยที่ 1 จึงไม่จำต้องส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) และจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์จนกว่าโจทก์จะได้ชำระค่าที่ดินพิพาทจนครบถ้วน ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามา ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังขึ้นบางส่วน
อนึ่ง เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาเพิกถอนการจดทะเบียนขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 แล้ว โฉนดที่ดินสำหรับที่ดินพิพาทซึ่งจำเลยที่ 2 ขอออกหลังจากซื้อที่ดินพิพาทมาจึงไม่ชอบ เห็นควรให้เพิกถอนโฉนดที่ดินดังกล่าวเสีย ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 247 และคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินพิพาท แต่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมโอนสิทธิในการขายที่ดินพิพาท ไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินพิพาทเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2546 ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ยกคำขอของโจทก์ที่ให้จำเลยที่ 1 ส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) สารบบเล่ม 51 หน้า 80 หมู่ที่ 1 ตำบลพังตรุ อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี และคำขอที่ให้ดำเนินการแก้ไขเปลี่ยนแปลงชื่อผู้ถือสิทธิในที่ดินพิพาทเป็นชื่อโจทก์ ให้เพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ 38416 ตำบลพังตรุ อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share