คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11530/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การกล่าวหาและจับกุมจำเลยดำเนินคดี แม้มีมูลเหตุสืบเนื่องมาจากคำซัดทอดของ ส. ที่ถูกจับกุมในคดีอื่น แต่ ส. ให้การต่อพนักงานสอบสวนในคดีที่ ส. เป็นผู้ต้องหา ทั้งในฐานะผู้ต้องหาและในฐานะพยานหลังถูกจับกุมเพียง 1 วัน จึงเป็นการยากที่จะคิดปรุงแต่งเรื่องราวให้ผิดไปจากความจริงและในคดีดังกล่าว ส. ก็ให้การรับสารภาพ จึงมิใช่เป็นการซัดทอดเพื่อให้ตนเองพ้นผิดโดยปัดความผิดไปให้จำเลยเพียงผู้เดียว หากเป็นการบอกเล่าเรื่องราวในการกระทำความผิดของตนยิ่งกว่าการปรักปรำจำเลยเสียอีก ครั้นพันตำรวจโท ป. สอบปากคำหลังถูกจับกุมนานเดือนเศษ ส. ยังคงยืนยันว่าซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยเช่นเดิม และยังนำชี้สถานที่ส่งมอบเมทแอมเฟตามีนกับชี้ภาพถ่ายของจำเลยสอดคล้องกับเรื่องราวที่ให้การไว้ต่อพันตำรวจโท ข. และพันตำรวจโท ป. โดยตรวจพบว่ามีการโอนเงินจากบัญชีของ ส. เข้าบัญชีของจำเลยรวมทั้งมีการยึดรถกระบะได้จากจำเลย ล้วนมีแหล่งที่มาจากคำให้การของ ส. ทั้งสิ้น และในชั้นพิจารณา ส. ยังเบิกความเป็นพยานโจทก์ว่าพยานได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนว่าซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยและเคยโอนเงินค่าเมทแอมเฟตามีนให้แก่จำเลย แม้คำเบิกความของ ส. ถือเป็นคำซัดทอดและ ส. เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านไม่ตรงกับที่เบิกความตอบโจทก์ในตอนแรกอันเป็นการไม่อยู่กับร่องกับรอย เห็นได้ชัดว่ามีเจตนาเพื่อให้เป็นประโยชน์แก่รูปคดีตามข้อต่อสู้ของจำเลย คำของ ส. ที่เบิกความตอบโจทก์ในตอนแรกจึงเชื่อถือได้มากกว่า เมื่อนำคำซัดทอดของ ส. ในชั้นสอบสวนและในชั้นพิจารณาตามที่เบิกความตอบโจทก์ในตอนแรก มาพิจารณารับฟังประกอบกันหลักฐานที่ ส. โอนเงินให้แก่จำเลยก่อน ส. ถูกจับกุมเพียงไม่กี่วัน พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมามีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้ ส. จริง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15, 66, 100/1
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), (ที่ถูก มาตรา 15 วรรคหนึ่ง วรรคสาม (2)), 66 วรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท แต่ละบทมีอัตราโทษเท่ากันให้ลงโทษฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเพียงบทเดียว ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 5 ปี และปรับ 600,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ทั้งนี้ให้กักขังเกินกว่าหนึ่งปีแต่มิให้เกินสองปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การกล่าวหาและจับกุมจำเลยดำเนินคดี แม้มีมูลเหตุสืบเนื่องมาจากคำซัดทอดของนายสมโภชที่ถูกจับกุมในคดีอื่น แต่นายสมโภชให้การต่อพันตำรวจโทขวัญเมืองพนักงานสอบสวนในคดีที่นายสมโภชเป็นผู้ต้องหา ทั้งในฐานะผู้ต้องหาและในฐานะพยาน ตามบันทึกคำให้การหลังถูกจับกุมเพียง 1 วัน จึงเป็นการยากที่จะคิดปรุงแต่งเรื่องราวให้ผิดไปจากความจริงและในคดีดังกล่าวนายสมโภชก็ให้การรับสารภาพ จึงมิใช่เป็นการซัดทอดเพื่อให้ตนเองพ้นผิดโดยปัดความผิดไปให้จำเลยเพียงผู้เดียว หากเป็นการบอกเล่าเรื่องราวในการกระทำความผิดของตนยิ่งกว่าการปรักปรำจำเลยเสียอีก ครั้นพันตำรวจโทประยูรสอบปากคำเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2550 หลังถูกจับกุมนานเดือนเศษ นายสมโภชยังคงยืนยันว่าซื้อเมทแอมเฟตามีนของกลางมาจากจำเลยเช่นเดิมตามบันทึกคำให้การ และยังนำชี้สถานที่ส่งมอบเมทแอมเฟตามีนกับชี้ภาพถ่ายของจำเลย สอดคล้องกับเรื่องราวตามที่นายสมโภชให้การไว้ต่อพันตำรวจโทขวัญเมืองและพันตำรวจโทประยูร โดยการตรวจพบว่ามีการโอนเงินจากบัญชีของนายสมโภชเข้าบัญชีของจำเลยเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2550 จำนวน 30,000 บาท และวันที่ 8 มิถุนายน 2550 จำนวน 57,000 บาท ตามรายการบัญชี รวมทั้งการที่สามารถยึดรถกระบะหมายเลขทะเบียน ผจ 2440 เชียงใหม่ ได้จากจำเลย ล้วนมีแหล่งที่มาจากคำให้การของนายสมโภชทั้งสิ้น ครั้นจับกุมจำเลยได้นายสมโภชยังชี้ตัวจำเลยยืนยันว่าเป็นผู้ที่จำหน่ายเมทแอมเฟตามีนของกลางให้แก่นายสมโภช และในชั้นพิจารณานายสมโภชยังเบิกความเป็นพยานโจทก์ว่า พยานได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนว่าซื้อเมทแอมเฟตามีนของกลางมาจากจำเลยที่หน้าวัดศรีครินทรารามเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2550 พยานเคยซื้อเมทแอมเฟตามีนมาจากจำเลย 2 ครั้ง รวมทั้งเมทแอมเฟตามีน 200 เม็ด ของกลางด้วย ครั้งแรกซื้อ 400 เม็ด ครั้งหลัง 200 เม็ด และพยานเคยโอนเงินค่าเมทแอมเฟตามีนให้แก่จำเลย 2 ครั้ง วันที่ 5 มิถุนายน 2550 จำนวน 30,000 บาท และวันที่ 8 มิถุนายน 2550 จำนวน 57,000 บาท แม้คำเบิกความของนายสมโภชถือเป็นคำซัดทอดและนายสมโภชเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า พยานซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลย 2 ครั้ง ครั้งละ 200 เม็ด เงินที่พยานโอนให้จำเลยเป็นค่าอาวุธปืน กับเบิกความตอบโจทก์ถามติงว่าพยานซื้อเมทแอมเฟตามีนจากนายเอ๋อ ไม่ใช่จากจำเลย เหตุที่ซัดทอดจำเลยเนื่องจากไม่พอใจที่จำเลยทวงเงินค่าอาวุธปืนที่จำเลยฝากพยานซื้อไม่ตรงกับที่นายสมโภชเบิกความตอบโจทก์ในตอนแรก อันเป็นการไม่อยู่กับร่องกับรอยและยังเป็นการเจือสมกับที่จำเลยนำสืบถึงสาเหตุที่นายสมโภชโอนเงินให้แก่จำเลย 2 ครั้ง ว่า เมื่อปี 2548 จำเลยไปเที่ยวจังหวัดแพร่และได้รู้จักกับนายสมโภช โดยการแนะนำของนายนิดซึ่งเป็นเพื่อนของจำเลย เดือนเมษายน 2550 จำเลยบอกนายสมโภชว่าต้องการอาวุธปืนขนาด 9 มม. จำนวน 2 กระบอก และบอกรุ่นด้วย นายสมโภชบอกว่าพอหาได้ เดือนพฤษภาคม 2550 นายสมโภชแจ้งว่าหาอาวุธปืนได้แล้วจำเลยจึงขับรถกระบะหมายเลขทะเบียน ผจ 2440 เชียงใหม่ จากจังหวัดเชียงใหม่ไปดูอาวุธปืนที่บ้านของนายสมโภชแต่ไม่ถูกใจเนื่องจากเก่าไม่สมราคาให้นายสมโภชเอาไปคืน นายสมโภชติดต่อกับคนที่หาอาวุธปืนให้ซึ่งก็รับปากว่าหาให้ได้ จำเลยจึงฝากเงินค่าอาวุธปืน 50,000 บาท ไว้ที่นายสมโภช อีกประมาณ 1 สัปดาห์ นายสมโภชบอกว่ามีอาวุธปืนใหม่เข้าให้ไปดู จำเลยจึงเดินทางไปที่บ้านนายสมโภช นายสมโภชโทรศัพท์ไปหาคนที่หาอาวุธปืนให้แต่บุคคลดังกล่าวบอกว่าไม่ว่างไม่สามารถนำอาวุธปืนไปให้ได้และให้จำเลยมอบเงินที่เหลือให้ด้วย อีก 2 ถึง 3 วัน ให้มารับอาวุธปืนได้ จำเลยจึงฝากเงินอีก 50,000 บาท ไว้ที่นายสมโภชแล้วเดินทางกลับจังหวัดเชียงใหม่ เมื่อครบกำหนดจำเลยติดต่อไปหานายสมโภชแต่นายสมโภชบ่ายเบี่ยงและทราบว่านายสมโภชนำเงินไปใช้ จำเลยจึงขู่นายสมโภชว่าหากไม่รีบนำเงินมาคืนให้ระวังตัวและครอบครัวจะเดือดร้อน นายสมโภชจึงได้ผ่อนชำระและโอนเข้าบัญชีของจำเลยเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2550 จำนวน 30,000 บาท และวันที่ 8 มิถุนายน 2550 จำนวน 57,000 บาท แต่เป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลที่จำเลยจะต้องไปหาซื้ออาวุธปืนจากผู้ที่มิได้มีอาชีพหรือเกี่ยวข้องกับการจำหน่ายอาวุธปืนและยังอยู่ในท้องที่ห่างไกล และไม่มีเหตุผลอีกเช่นกันที่จำเลยจะต้องมอบเงินค่าอาวุธปืนไว้ที่นายสมโภชถึงสองครั้งทั้ง ๆ ที่นายสมโภชหาอาวุธปืนให้ไม่ได้ โดยเฉพาะในครั้งหลังที่จำเลยต้องเสียเวลาเดินทางไปดูอาวุธปืนแต่นายสมโภชไม่มีอาวุธปืนให้จำเลยดู จึงไม่เชื่อว่าจำเลยจะยอมมอบเงินค่าอาวุธปืนให้นายสมโภชอีก ข้ออ้างของจำเลยไม่มีน้ำหนักในการรับฟัง การที่นายสมโภชเบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลยดังกล่าว เห็นได้ชัดว่ามีเจตนาเพื่อให้เป็นประโยชน์แก่รูปคดีตามข้อต่อสู้ของจำเลย คำของนายสมโภชที่เบิกความตอบโจทก์ในตอนแรกจึงเชื่อถือได้มากกว่า ส่วนที่นายสมโภชให้การตามบันทึกคำให้การ ว่า นายสมโภชซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลย 2 ครั้ง ครั้งละ 200 เม็ด ในราคาเม็ดละ 120 บาท แต่ให้การตามบันทึกคำให้การว่า ครั้งแรกซื้อ 400 เม็ด ครั้งหลัง 200 เม็ด ในราคาเม็ดละ 150 บาท ก็หาใช่เป็นการแตกต่างกันในสาระสำคัญไม่เพราะช่วงแรกที่ถูกจับกุมนายสมโภชตกอยู่ในภาวะสับสน จึงอาจให้การในรายละเอียดในบางช่วงบางตอนไม่ตรงกับความจริงก็เป็นได้ แต่หลักใหญ่ใจความนายสมโภชยังคงให้การตรงกันว่าซื้อเมทแอมเฟตามีนของกลางมาจากจำเลย เมื่อนำคำซัดทอดของนายสมโภชในชั้นสอบสวนและในชั้นพิจารณาตามที่เบิกความตอบโจทก์ในตอนแรก มาพิจารณารับฟังประกอบหลักฐานที่นายสมโภชโอนเงินให้แก่จำเลย 2 ครั้ง ในช่วงวันเวลาก่อนนายสมโภชถูกจับกุมเพียงไม่กี่วัน ตามรายการบัญชีเอกสาร และการที่นายสมโภชชี้ยืนยันจำเลยหลังการจับกุมจำเลย ตามภาพถ่ายแล้ว พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมามีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนของกลางให้นายสมโภชจริง จำเลยจึงมีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตามฟ้อง พยานอ้างฐานที่อยู่ของจำเลยที่ว่า วันที่ 9 มิถุนายน 2550 จำเลยและครอบครัวไปที่วัดบ้านปาง อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน และเวลาเย็นไปรับประทานอาหารด้วยกันที่ร้านอาหารแก้วปลาสด แม้มีนายทักษิณ นางสาวณิชกานต์ เป็นพยานสนับสนุน แต่เป็นบุคคลที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจำเลยโดยนายทักษิณเป็นเพื่อนร่วมงานและนางสาวณิชกานต์เป็นน้องของ นางสาวณัฐนันท์ ภริยาของจำเลย ย่อมต้องเบิกความเพื่อให้เป็นประโยชน์แก่จำเลย จึงยากแก่การรับฟัง ส่วนรูปภาพขณะนั่งรับประทานอาหาร คงบอกเล่าเรื่องราวได้เพียงว่ามีการรับประทานอาหารในร้านอาหารแห่งหนึ่งในคืนวันที่ 9 มิถุนายน 2550 เท่านั้น จึงมิใช่เป็นหลักฐานที่จะสามารถยืนยันได้มั่นคงว่าก่อนหน้านั้นจำเลยมิได้ไปพบและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้แก่นายสมโภช ทำให้ไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share