แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในคดีอาญาที่ไม่จำต้องสืบพยานประกอบ เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวันกระทำความผิดของจำเลยย่อมรับฟังเป็นยุติได้ตามฟ้องโจทก์ ต่อมาจำเลยอุทธรณ์ว่า ตามฟ้องโจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยกระทำความผิดเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2552 แต่จำเลยเก็บทรัพย์สินที่ตกจากรถยนต์บรรทุกของผู้เสียหายตั้งแต่วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2552 และศาลชั้นต้นออกหมายจับจำเลยเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2552 จึงเป็นไปไม่ได้ที่วันเกิดเหตุตามฟ้องจะเกิดขึ้นภายหลังจากวันที่ศาลชั้นต้นออกหมายจับจำเลย นั้น จึงเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นนอกจากที่จำเลยให้การรับสารภาพและเป็นการอุทธรณ์ข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 15
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์สินที่ลักไป 108,220 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 ลงโทษจำคุก 1 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ลักไป 108,220 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุก 6 เดือน คำขอของโจทก์ที่ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 108,200 บาท (ที่ถูกคือ 108,220 บาท) ให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยฎีกาว่า ตามฟ้องโจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยกระทำความผิดเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2552 แต่จำเลยเก็บทรัพย์สินที่ตกจากรถยนต์บรรทุกของผู้เสียหายตั้งแต่วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2552 และศาลชั้นต้นออกหมายจับจำเลยเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2552 จึงเป็นไปไม่ได้ที่วันเกิดเหตุตามฟ้องจะเกิดขึ้นภายหลังจากวันที่ศาลชั้นต้นออกหมายจับจำเลย แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่รับวินิจฉัย อุทธรณ์ในข้อนี้ของจำเลยเป็นการมิชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในข้อหาความผิดซึ่งมิใช่เป็นคดีที่มีอัตราโทษอย่างต่ำจำคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไปหรือโทษสถานที่หนักกว่านั้น เมื่อศาลชั้นต้นสอบคำให้การ และจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องของโจทก์ ศาลชั้นต้นย่อมพิพากษาโดยไม่สืบพยานหลักฐานต่อไปได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 วรรคหนึ่ง และข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวันกระทำความผิดของจำเลยย่อมรับฟังเป็นยุติได้ดังที่โจทก์กล่าวอ้างในฟ้อง อุทธรณ์ในข้อนี้ของจำเลยจึงเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นนอกจากที่จำเลยให้การรับสารภาพ และเป็นการอุทธรณ์ข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่รับวินิจฉัยปัญหาตามอุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าวจึงชอบแล้ว