แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
การที่ศาลจะรับฟังคำให้การในชั้นสอบสวนของ ส. ยิ่งกว่าคำเบิกความต่อศาลนั้น จะต้องมีพฤติการณ์ที่ส่อให้เห็นว่า ส. เบิกความเพื่อช่วยเหลือจำเลยให้พ้นผิดแต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ส. ไม่ได้เป็นญาติของจำเลย และไม่เคยรู้จักกันมาก่อนทั้งยังมีภูมิลำเนาอยู่คนละอำเภอ เห็นเหตุการณ์เพราะมีบ้านอยู่ใกล้กับจุดเกิดเหตุเท่านั้น ไม่มีผลประโยชน์ได้เสียกับฝ่ายใด โจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองก็ไม่ได้ถามค้านหรือนำสืบให้เห็นถึงความไม่น่าเชื่อถือในคำเบิกความของ ส. นอกจากนี้ก่อนเบิกความ ส. ได้สาบานตนแล้วเบิกความต่อหน้าศาลและคู่ความทุกฝ่าย เปิดโอกาสให้มีการถามค้านได้แต่การให้การต่อพนักงานสอบสวนนั้นเป็นการให้การสองต่อสอง อาจถูกพนักงานสอบสวนชี้นำให้ให้การตามแนวทางการสอบสวนของตนเองก็ได้ เชื่อว่า ส. เป็นพยานคนกลางเบิกความไปตามความจริงที่ได้รู้เห็นมา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43, 157
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นางลำนอง จักร์กระโทก และนางประนอม หนันกระโทกภริยาของนายสวัสดิ์ จักร์กระโทก และนายสุทิน หนันกระโทก ผู้ตาย ตามลำดับยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต (ที่ถูก อนุญาตให้เข้าร่วมเป็นโจทก์เฉพาะข้อหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 ) โดยให้เรียกนางลำนองและนางประนอมว่า โจทก์ร่วมที่ 1 และที่ 2 ตามลำดับ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 (4), 157 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 3 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องสำหรับความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43, 157 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายหรือไม่ เห็นว่า โจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองมีประจักษ์พยานที่สำคัญเบิกความ 2 ปาก คือ นายสมบูรณ์คนขับรถกระบะหมายเลขทะเบียน 2 ท – 2053 นครราชสีมา ตามหลังรถบรรทุกหกล้อที่จำเลยขับกับนายสกุล พานกิ่งหรือทานกิ่ง ซึ่งมีบ้านอยู่ข้างถนนที่เกิดเหตุ ส่วนนายศิริอมฤกษ์ นายจ้างของนายสมบูรณ์ซึ่งโดยสารมากับรถกระบะที่นายสมบูรณ์ขับและเป็นเจ้าของรถกระบะคันดังกล่าว นั่งหลับมาไม่เห็นเหตุการณ์ก่อนรถชนกัน ได้ความจากคำเบิกความของนายสมบูรณ์ว่า นายสมบูรณ์จะขับรถแซงรถบรรทุกหกล้อที่จำเลยขับซึ่งบรรทุกโครงไก่ แต่เห็นว่าที่ด้านหน้ามีรถบรรทุกหกล้ออีกคันหนึ่งเปิดไฟเลี้ยวขวา นายสมบูรณ์จึงลดความเร็วและไม่ขับแซง แต่ได้เปิดไฟเลี้ยวซ้าย ขณะนั้นรถบรรทุกหกล้อที่จำเลยขับได้หักออกไปทางซ้ายเพื่อแซงรถด้านหน้าไปทางซ้ายนายสมบูรณ์จึงขับตามไปห่างประมาณ 20 เมตร ได้ยินเสียงรถชนกันที่ด้านหน้า นายสมบูรณ์จึงเหยียบเบรกให้รถหยุดอยู่กับที่ เห็นรถบรรทุกหกล้อที่จำเลยขับหลบไปทางซ้าย ไม่เห็นรถคันใดชนกัน รถกระบะที่นายสมบูรณ์ขับถูกหัวเก๋งของรถบรรทุกหกล้อกระเด็นมาชนบริเวณด้านหน้าขวา เมื่อนายสมบูรณ์ลงจากรถไปตรวจดูความเสียหาย พบว่ารถบรรทุกหกล้อคันที่จะเลี้ยวขวาชนกับรถบรรทุกพ่วงสิบแปดล้อซึ่งแล่นสวนทางมา ทำให้หัวเก๋งหลุดออกมาชนกับรถกระบะที่นายสมบูรณ์ขับ มีผู้ถึงแก่ความตาย 3 คน ในที่เกิดเหตุ ส่วนนายสกุล ประจักษ์พยานอีกปากหนึ่งเบิกความได้ความว่า นายสกุลมีบ้านอยู่ติดกับถนนฝั่งซ้ายของถนนที่มุ่งหน้าไปอำเภอกบินทร์บุรี เปิดเป็นอู่ซ่อมรถก่อนเกิดเหตุนายสกุลนั่งอยู่บริเวณหน้าบ้าน เห็นรถบรรทุกหกล้อแล่นมาจากทางอำเภอกบินทร์บุรี แล้วชะลอความเร็วเพื่อจะเลี้ยวขวาเข้าไปที่ร้านซ่อมยางรถยนต์ขณะเดียวกันเห็นรถบรรทุกสิบล้อพ่วงด้วยรถพ่วงแล่นมาจากทางจังหวัดนครราชสีมาพุ่งเข้าชนรถบรรทุกหกล้อ ซึ่งจุดชนอยู่ห่างจากนายสกุลประมาณ 20 วา เช่นนี้ประจักษ์พยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองดังกล่าวต่างไม่มีผู้ใดเบิกความยืนยันว่าก่อนที่รถบรรทุกหกล้อที่นายสวัสดิ์ขับจะชนกับรถบรรทุกสิบล้อพ่วงด้วยรถพ่วงถูกรถบรรทุกหกล้อที่จำเลยขับชนที่ด้านท้ายก่อน นายสมบูรณ์เป็นผู้ขับรถกระบะตามหลังรถบรรทุกหกล้อที่จำเลยขับห่างเพียงประมาณ 20 เมตร โดยไม่มีรถคันอื่นคั่นกลาง หากรถบรรทุกหกล้อของจำเลยชนกับท้ายรถบรรทุกหกล้อที่นายสวัสดิ์ขับก่อนเชื่อว่านายสมบูรณ์จะต้องเห็น ทั้งในกรณีที่รถบรรทุกหกล้อที่จำเลยขับชนกับรถบรรทุกหกล้อที่นายสวัสดิ์ขับก่อน แล้วรถบรรทุกหกล้อที่นายสวัสดิ์ขับเสียหลักไปชนกับรถบรรทุกสิบล้อพ่วงด้วยรถพ่วงที่แล่นสวนทางมา จะต้องมีเสียงดังเกิดขึ้น 2 ครั้งในเวลาไล่เลี่ยกัน แต่นายสมบูรณ์กลับเบิกความแต่เพียงว่า เมื่อนายสมบูรณ์ขับรถตามรถบรรทุกหกล้อที่จำเลยขับไปด้านซ้ายห่างประมาณ 20 เมตร ได้ยินเสียงเหมือนรถชนกันอยู่ด้านหน้า เท่ากับนายสมบูรณ์ได้ยินเสียงรถชนกันเพียงครั้งเดียวจึงอาจเป็นไปได้ว่ารถบรรทุกหกล้อที่นายสวัสดิ์ขับชนกับรถบรรทุกสิบล้อก่อน แล้วท้ายรถบรรทุกหกล้อที่นายสวัสดิ์ขับหมุนปัดมาชนบริเวณประตูด้านขวารถบรรทุกหกล้อที่จำเลยขับ เพราะนายสมบูรณ์เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า รถบรรทุกสิบล้อ (พ่วงด้วยรถพ่วงรวมสิบแปดล้อ) ชนรถบรรทุกหกล้ออย่างแรง เป็นเหตุให้รถบรรทุกหกล้อหมุนกลับไปทางด้านซ้ายและหยุดคร่อมกลางถนน ส่วนที่โจทก์มีบันทึกคำให้การในชั้นสอบสวนของนายสกุลตามเอกสารหมาย จ.2 มาอ้างเป็นพยานระบุว่า ในชั้นสอบสวนนายสกุลให้การต่อพนักงานสอบสวนว่า ขณะที่รถบรรทุกหกล้อหยุดรอเลี้ยวขวา (ซึ่งหมายถึงรถบรรทุกหกล้อที่นายสวัสดิ์ขับ) รถบรรทุกหกล้ออีกคันหนึ่ง (ซึ่งหมายถึง รถบรรทุกหกล้อที่จำเลยขับ) แล่นตามหลังมาเฉี่ยวชนบริเวณด้านท้าย เป็นเหตุให้รถบรรทุกหกล้อคันที่จอดรอเลี้ยวเสียหลักแล่นล้ำเข้าไปในช่องเดินรถสวนทางมา เป็นเหตุให้เกิดเฉี่ยวชนกับรถบรรทุกสิบล้อ หมายเลขทะเบียน 80 – 2465 สระแก้ว พ่วงด้วยรถพ่วง หมายเลขทะเบียน 80 – 2606 สระแก้ว ที่แล่นสวนทางมา ก็ตาม แต่นายสกุลก็เบิกความว่า คำให้การในชั้นสอบสวนดังกล่าวไม่ถูกต้อง ความจริงเป็นดังที่นายสกุลเบิกความต่อศาลว่า ก่อนที่รถบรรทุกหกล้อจะชนกับรถบรรทุกสิบล้อนั้น นายสกุลไม่เห็นรถบรรทุกหกล้ออีกคันหนึ่งแล่นมา การที่ศาลจะรับฟังคำให้การในชั้นสอบสวนของนายสกุลยิ่งกว่าคำเบิกความต่อศาลนั้นจะต้องมีพฤติการณ์ที่ส่อให้เห็นว่านายสกุลเบิกความเพื่อช่วยเหลือจำเลยให้พ้นผิด แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่านายสกุลไม่ได้เป็นญาติของจำเลย และไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ทั้งยังมีภูมิลำเนาอยู่คนละอำเภอ เห็นเหตุการณ์เพราะมีบ้านอยู่ใกล้กับจุดเกิดเหตุเท่านั้น ไม่มีผลประโยชน์ได้เสียกับฝ่ายใด โจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองก็ไม่ได้ถามค้านหรือนำสืบให้เห็นถึงความไม่น่าเชื่อถือในคำเบิกความของนายสกุล นอกจากนี้ก่อนเบิกความนายสกุลได้สาบานตนแล้วเบิกความต่อหน้าศาลและคู่ความทุกฝ่ายเปิดโอกาสให้มีการถามค้านได้ แต่การให้การต่อพนักงานสอบสวนนั้น เป็นการให้การสองต่อสอง อาจถูกพนักงานสอบสวนชี้นำให้ให้การตามแนวทางการสอบสวนของตนเองก็ได้ เชื่อว่า นายสกุลเป็นพยานคนกลางเบิกความไปตามความจริงที่รู้เห็นมา ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 รับฟังคำให้การในชั้นสอบสวนของนายสกุลยิ่งกว่าคำเบิกความต่อศาลนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย เมื่อศาลฎีกาตรวจดูแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.1 ที่พนักงานสอบสวนจัดทำขึ้นแล้ว ยิ่งสนับสนุนคำเบิกความของนายสมบูรณ์และนายสกุลให้มีน้ำหนักยิ่งขึ้น เนื่องจากตามแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุดังกล่าว ปรากฏว่าจุดที่สันนิษฐานว่าเป็นจุดชน (จุดหมายเลข 6) อยู่ในช่องเดินรถของรถบรรทุกหกล้อที่นายสวัสดิ์ขับทั้งเศษวัสดุสิ่งของต่าง ๆ ตกอยู่บริเวณกึ่งกลางของช่องทางเดินรถ (จุดหมายเลข 5)แสดงให้เห็นว่ารถบรรทุกหกล้อที่นายสวัสดิ์ขับไม่ได้ล้ำเส้นแบ่งกึ่งกลางถนนเข้าไปในช่องเดินรถสวนในเส้นทางเดินรถของรถบรรทุกสิบล้อพ่วงด้วยรถพ่วงแต่อย่างใดหากกรณีเป็นเรื่องที่รถบรรทุกหกล้อที่จำเลยขับชนบริเวณมุมกระบะด้านซ้ายท้ายรถบรรทุกหกล้อที่นายสวัสดิ์ขับก่อน จุดชนจะต้องอยู่ในช่องเดินรถของรถบรรทุกสิบล้อพ่วงด้วยรถพ่วงอย่างแน่นอน เพราะรถบรรทุกหกล้อที่นายสวัสดิ์ขับจะกระเด็นเคลื่อนที่ไปตามแรงปะทะ ซึ่งความเสียหายที่ปรากฏบนประตูด้านขวารถบรรทุกหกล้อที่จำเลยขับตามภาพถ่ายหมาย ป.จ.1 (ศาลจังหวัดศรีสะเกษ) นั้น แสดงให้เห็นว่ามีการปะทะที่รุนแรงมากพอสมควรที่จะเป็นเหตุให้รถบรรทุกหกล้อที่นายสวัสดิ์ขับกระเด็นเคลื่อนที่ไปได้ ดังนั้น จุดชนตามแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุจึงไม่ได้ชี้ให้เห็นว่าจำเลยขับรถบรรทุกหกล้อชนท้ายรถบรรทุกหกล้อที่นายสวัสดิ์ขับ ก่อนที่รถบรรทุกหกล้อที่นายสวัสดิ์ขับจะชนกับรถบรรทุกสิบล้อพ่วงด้วยรถพ่วง แม้นายศิริพยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองเบิกความว่านายศิริสอบถามนายสมบูรณ์ได้ความว่า รถบรรทุกหกล้อที่จำเลยขับซึ่งเบนออกไปทางด้านซ้ายเพื่อแซงซ้ายจึงเฉี่ยวท้ายรถบรรทุกหกล้อที่กำลังรอเลี้ยวเป็นเหตุให้เสียหลักเข้าไปในช่องเดินรถที่แล่นสวนมาก็ตาม คำเบิกความของนายศิริก็เป็นเพียงพยานบอกเล่า และไม่สอดคล้องกับคำเบิกความของนายสมบูรณ์ประจักษ์พยาน ทั้งยังไม่ตรงกับจุดชนในแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.1 คำเบิกความของนายศิริ จึงไม่อาจรับฟังได้ นอกจากนี้หากพนักงานสอบสวนไปถึงที่เกิดเหตุแล้ว ทราบจากพยานไม่ว่าจะเป็นนายสมบูรณ์ นายศิริ หรือนายสกุลก็ดีว่า รถบรรทุกหกล้อที่จำเลยขับชนเข้ากับท้ายรถบรรทุกหกล้อที่นายสวัสดิ์ขับก่อน พนักงานสอบสวนก็น่าที่จะบันทึกไว้ในบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุคดีจราจรเอกสารหมาย จ.11 แต่กลับปรากฏตามเอกสารดังกล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยสังเขปคือ ตามวันเวลาที่เกิดเหตุ รถบรรทุกหกล้อ หมายเลขทะเบียน 83 – 0166 นครราชสีมา (ที่นายสวัสดิ์ขับ) ได้แล่นล้ำเข้าไปในช่องเดินรถที่แล่นสวนทางมาโดยไม่ทราบสาเหตุ… ฯลฯ เช่นนี้แสดงว่า หลังเกิดเหตุใหม่ ๆ ไม่มีใครยืนยันว่ารถบรรทุกหกล้อที่จำเลยขับชนกับท้ายรถบรรทุกหกล้อที่นายสวัสดิ์ขับก่อน จากพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองดังกล่าวที่ไม่มีพยานปากใดยืนยันได้ว่ารถบรรทุกหกล้อที่จำเลยขับชนกับท้ายรถบรรทุกหกล้อที่นายสวัสดิ์ขับก่อนจึงเป็นเหตุให้รถบรรทุกหกล้อที่นายสวัสดิ์ขับเสียหลักไปชนกับรถบรรทุกสิบล้อพ่วงด้วยรถพ่วงที่แล่นสวนทางมา ประกอบกับจำเลยไม่ได้หลบหนีไปไหนและให้การปฏิเสธมาโดยตลอด พยานหลักฐานของจำเลยจึงมีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองได้ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า รถบรรทุกหกล้อที่นายสวัสดิ์ขับชนกับรถบรรทุกสิบล้อพ่วงด้วยรถพ่วงก่อน เป็นเหตุให้ท้ายรถบรรทุกหกล้อที่นายสวัสดิ์ขับปัดมาชนบริเวณประตูรถด้านขวาของรถบรรทุกหกล้อที่จำเลยขับ ดังนั้น จำเลยจึงไม่ได้ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3