คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4789/2553

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ป.วิ.พ. มาตรา 229 ซึ่งบัญญัติบังคับให้ผู้อุทธรณ์ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมที่จะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาหรือคำสั่งมาวางศาลพร้อมอุทธรณ์นั้นใช้บังคับเฉพาะกรณีอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีของศาลชั้นต้นตลอดจนการอุทธรณ์คำสั่งอื่นๆ ของศาลชั้นต้นที่มีผลกระทบต่อคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีของศาลชั้นต้นเท่านั้น คดีนี้ปรากฏว่าหลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้แก่โจทก์ จำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ศาลชั้นต้นเห็นว่าคำร้องของจำเลยที่ 1 ยื่นเมื่อพ้นเวลาที่กฎหมายกำหนดและมีคำสั่งยกคำร้องจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 อุทธรณ์คำสั่งซึ่งตามอุทธรณ์ดังกล่าวแม้จะขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 6 กลับคำสั่งของศาลชั้นต้นและมีคำสั่งให้พิจารณาคดีใหม่ก็ตามแต่หากศาลอุทธรณ์ภาค 6 เห็นด้วยกับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ก็ทำได้เพียงแต่พิพากษายกคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและให้ศาลชั้นต้นรับคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ไว้พิจารณาและมีคำสั่งต่อไปตามรูปคดี การอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยที่ 1 ในชั้นนี้ไม่มีผลกระทบโดยตรงต่อคำพิพากษาศาลชั้นต้น ดังนั้น จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งต้องใช้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 70,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 มกราคม 2545 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 21,000 บาท ตามที่โจทก์ขอ หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระ ให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์แทน กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 800 บาท
จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ 1 ไม่ทราบว่าโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีนี้ หากจำเลยที่ 1 ได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง จำเลยที่ 1 จะต้องยื่นคำให้การต่อสู้คดี จำเลยที่ 1 มิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การ และหากจำเลยที่ 1 มีโอกาสนำพยานหลักฐานเข้าสืบ จำเลยที่ 1 มีทางชนะคดีโจทก์ได้ ทั้งการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยที่ 1 นั้นไม่ชอบ ขอให้พิจารณาคดีใหม่
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้ศาลส่งคำบังคับให้จำเลยที่ 1 โดยมารดาจำเลยที่ 1 รับไว้แทนเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2547 จำเลยที่ 1 ต้องยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ภายใน 15 วัน นับแต่วันได้รับคำบังคับ จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องนี้พ้นเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ ยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดแก่จำเลยที่ 1 ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายกอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยที่ 1 เพราะเหตุจำเลยที่ 1 ไม่ได้นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมาวางศาลพร้อมอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 เป็นการชอบหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 ซึ่งบัญญัติบังคับให้ผู้อุทธรณ์ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมที่จะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาหรือคำสั่งมาวางศาลพร้อมอุทธรณ์นั้น ใช้บังคับเฉพาะกรณีอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีของศาลชั้นต้นตลอดจนการอุทธรณ์คำสั่งอื่นๆ ของศาลชั้นต้นที่มีผลกระทบต่อคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีของศาลชั้นต้นเท่านั้น คดีนี้ปรากฏว่าหลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้แก่โจทก์ จำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่าคำร้องของจำเลยที่ 1 ยื่นเมื่อพ้นเวลาที่กฎหมายกำหนด และมีคำสั่งยกคำสั่งยกคำร้องของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว ซึ่งตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ดังกล่าว แม้จะขอให้กลับคำสั่งของศาลชั้นต้นและมีคำสั่งให้พิจารณาคดีใหม่ก็ตาม แต่หากศาลอุทธรณ์ภาค 6 เห็นด้วยกับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ก็ทำได้เพียงแต่พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นและให้ศาลชั้นต้นรับคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ของจำเลยที่ 1 ไว้พิจารณาและมีคำสั่งต่อไปตามรูปคดี การอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยที่ 1 ในชั้นนี้ไม่มีผลกระทบโดยตรงต่อคำพิพากษาศาลชั้นต้น ดังนั้น จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งต้องใช้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังขึ้น”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 ให้ศาลอุทธรณ์ภาค 6 รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ไว้พิจารณาและมีคำพิพากษาตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share