แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
จำเลยในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้รับเงินค่าขายทรัพย์พิพาทไปเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2548 ต้องถือว่าการบังคับคดีสำหรับทรัพย์สินพิพาทได้เสร็จลงแล้วตั้งแต่วันดังกล่าวตาม ป.วิ.พ. มาตรา 296 วรรคสองและวรรคสาม การที่โจทก์มายื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดในวันที่ 14 มีนาคม 2548 เป็นการยื่นภายหลังจากการบังคับคดีได้เสร็จลง โจทก์จึงไม่มีสิทธิร้องขอให้ศาลสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาดได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชำระเงินจำนวน 300,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม 2539 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย จำเลยจึงขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดี และนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์พิพาทที่ดินโฉนดเลขที่ 32397 ตำบลบ้านเกาะ พร้อมสิ่งปลูกสร้างของโจทก์ออกขายทอดตลาด
โจทก์ยื่นคำร้องว่า เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2548 โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดการบังคับคดีและมีคำสั่งยกเลิกวันนัดขายทอดตลาดที่เจ้าพนักงานบังคับคดีกำหนดนัดไว้ ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งให้นัดพร้อมในวันที่ 10 มีนาคม 2548 ต่อมาวันที่ 24 มกราคม 2548 ซึ่งเป็นวันนัดขายทอดตลาดนัดแรก โจทก์ได้นำสำเนาคำร้องขอให้งดการบังคับคดีและคำสั่งศาลที่ให้นัดพร้อมในวันที่ 10 มีนาคม 2548 ไปแสดงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี และขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีงดการขายทอดตลาดทรัพย์พิพาทและยกเลิกวันนัดขายทอดตลาดที่นัดไว้ เจ้าพนักงานบังคับคดีก็ได้แจ้งแก่โจทก์ว่าจะงดการขายทอดตลาดไว้ก่อนเพื่อรอฟังคำสั่งศาล แต่เมื่อถึงวันนัดขายทอดตลาดนัดที่ 2 ในวันที่ 31 มกราคม 2548 เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ขายทอดตลาดทรัพย์พิพาทให้แก่นางมาเรียมผู้ซื้อทรัพย์ไปในราคา 520,000 บาท การขายทอดตลาดดังกล่าวของเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นการกระทำที่ไม่สุจริตและไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดและงดการบังคับคดีไว้จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด
จำเลยและผู้ซื้อทรัพย์ยื่นคำคัดค้าน ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่ 32397 ตำบลบ้านเกาะ อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา พร้อมสิ่งปลูกสร้างของโจทก์ และให้งดการบังคับคดีไว้จนกว่าศาลอุทธรณ์ภาค 3 จะมีคำพิพากษา ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
จำเลยและผู้ซื้อทรัพย์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยและผู้ซื้อทรัพย์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นสมควรวินิจฉัยก่อนว่า โจทก์มีสิทธิร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดหรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความว่า ภายหลังจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชำระหนี้แก่จำเลยตามฟ้องแย้ง โจทก์อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยมิได้ขอให้ทุเลาการบังคับคดี จำเลยจึงขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์พิพาทที่ดินโฉนดเลขที่ 32397 ตำบลบ้านเกาะ อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา พร้อมสิ่งปลูกสร้างของโจทก์เพื่อนำออกขายทอดตลาด ต่อมาเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ส่งประกาศขายทอดตลาดให้โจทก์และจำเลยทราบ โดยในประกาศดังกล่าวได้กำหนดวันนัดขายทอดตลาดไว้ 4 นัด นัดแรกวันที่ 24 มกราคม 2548 นัดที่สองวันที่ 31 มกราคม 2548 นัดที่สามวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2548 และนัดที่สี่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2548 ครั้นวันที่ 12 มกราคม 2548 โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดการบังคับและมีคำสั่งยกเลิกกำหนดวันนัดขายทอดตลาดทั้งสี่ครั้งดังกล่าว ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้นัดพร้อมในวันที่ 10 มีนาคม 2548 เมื่อถึงวันนัดขาดทอดตลาดนัดแรกโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีงดการขายทอดตลาดไว้ก่อนจนกว่าศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งตามคำร้องขอให้งดการบังคับคดีของโจทก์ เจ้าพนักงานบังคับคดีได้งดการขายทอดตลาดในนัดดังกล่าวและเกษียณสั่งคำร้องของโจทก์ว่า “เบื้องต้นไม่ปรากฏว่าศาลมีคำสั่งให้งดการบังคับคดีไว้แต่อย่างใด จึงให้ผู้แถลงนำส่งคำสั่งศาลเกี่ยวกับการงดการบังคับคดีว่าเป็นประการใด อนึ่ง ในวันนี้เนื่องจากไม่มีผู้ใดเสนอราคาทรัพย์ จึงให้งดการขายทอดตลาดในวันนี้ไว้ จะนัดขายต่อไป 31 มกราคม 2548” โดยสั่งในวันเดียวกันนั้นแต่ภายหลังจากที่ฝ่ายโจทก์กลับไปแล้ว และเมื่อถึงวันนัดขายทอดตลาดนัดที่สองวันที่ 31 มกราคม 2548 เจ้าพนักงานบังคับคดีได้นำทรัพย์พิพาทออกขายทอดตลาด โดยนางมาเรียมเป็นผู้ประมูลซื้อได้ในราคา 520,000 บาท เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ทำบัญชีแสดงรายการรับ – จ่าย ครั้งที่ 1 และจำเลยได้รับเงินค่าขายทรัพย์พิพาทดังกล่าวไปเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2548 ซึ่งเงินที่ได้รับไปไม่เพียงพอที่จะชำระหนี้ตามคำพิพากษา วันที่ 14 มีนาคม 2548 โจทก์ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดทรัพย์พิพาท เห็นว่า เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้รับเงินค่าขายทรัพย์พิพาทไปเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2548 ก็ต้องถือว่าการบังคับคดีสำหรับทรัพย์พิพาทได้เสร็จลงแล้วตั้งแต่วันดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสองและวรรคสาม การที่โจทก์มายื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดในวันที่ 14 มีนาคม 2548 เป็นการยื่นภายหลังจากการบังคับคดีได้เสร็จลง โจทก์จึงไม่มีสิทธิร้องขอให้ศาลสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาดได้ ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยมานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยและของผู้ซื้อทรัพย์ฟังขึ้น เมื่อคดีฟังได้ดังกล่าวแล้วก็ไม่มีประโยชน์ที่จะวินิจฉัยฎีกาของจำเลยและของผู้ซื้อทรัพย์ในประเด็นอื่นอีกต่อไปเนื่องจากไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนไป
พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ