คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4177/2552

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 มิได้บัญญัติว่าที่ดินที่จะเป็นที่ธรณีสงฆ์ต้องเป็นที่ดินมีโฉนดเท่านั้น ดังนั้น แม้ที่ดินที่มีเพียงสิทธิครอบครองก็เป็นที่ธรณีสงฆ์ได้ การยกให้ที่ดินที่มีเพียงการครอบครองให้แก่วัด จึงตกเป็นที่ธรณีสงฆ์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินมือเปล่า (ส.ค.1) เลขที่ 1 หมู่ที่ 2 ตำบลโผงเผง อำเภอป่าโมก จังหวัดอ่างทอง เนื้อที่ 1 ไร่เศษ โดยนายทองและนางฟอง ยกให้ปี 2515 โจทก์ยินยอมให้จำเลยทั้งห้าและบริวารอยู่อาศัยทำกินและปลูกสร้างบ้านเรือนในที่ดินแปลงดังกล่าว ปี 2544 โจทก์ขอออกโฉนดที่ดินแต่จำเลยที่ 1 กับพวกขัดขวาง โจทก์บอกเลิกสัญญาและให้จำเลยทั้งห้ากับบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินจำเลยทั้งห้าเพิกเฉยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเดือนละ 50,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ดังกล่าวพร้อมกับรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไป ห้ามมิให้จำเลยทั้งห้าและบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์ ให้จำเลยทั้งห้าชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 50,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งห้าและบริวารจะออกไปจากที่ดิน
จำเลยทั้งห้าให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม จำเลยทั้งห้าเป็นผู้ใช้และทำประโยชน์ในที่ดินมากกว่า 20 ปี โดยไม่มีผู้ใดโต้แย้งหรือรบกวนการครอบครอง และมิได้อาศัยสิทธิของโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยทั้งห้า โดยกำหนดค่าทนายความ 1,500 บาท
โจทก์อุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งห้าและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและออกไปจากที่ดิน ส.ค.1 เลขที่ 1 หมู่ที่ 2 ตำบลโผงเผง อำเภอป่าโมก จังหวัดอ่างทอง ของโจทก์และห้ามเกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าวอีกต่อไป กับให้ร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 10,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะออกไปจากที่ดิน ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
จำเลยทั้งห้าฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นายทองแจ้งการครอบครองที่ดินพิพาทไว้เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2498 ระบุเนื้อที่ 1 ไร่ 16 ตารางวา ทิศเหนือจดนายบุญ ทิศใต้จดนางจัน ทิศตะวันออกจดทางหลวง และทิศตะวันตกจดวัดแจ้ง นายทองกับนางฟองมีลูกด้วยกัน 7 คน เมื่อปี 2547 คงมีชีวิตอยู่เพียง 3 คน คือ นางฟ้อน พันจ่าอากาศเอกคืน และนางสมบุญ ไม่ปรากฏนามสกุลนายทองถึงแก่ความตายก่อนนางฟอง ที่ดินดังกล่าวปัจจุบันมีบ้านของจำเลยที่ 2 ปลูกอยู่ และจำเลยทั้งห้าใช้ที่ดินบางส่วนของทางพิพาทขนทราย
ที่จำเลยทั้งห้าฎีกาว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมนั้น เห็นว่า เป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในชั้นอุทธรณ์ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้
มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งห้าว่า ที่ดินที่ไม่มีโฉนดเช่นเดียวกับที่ดินพิพาทตกเป็นที่ธรณีสงฆ์ได้หรือไม่ โดยจำเลยทั้งห้าฎีกาว่า ที่ดินที่มีโฉนดเท่านั้นที่จะตกเป็นที่ธรณีสงฆ์ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 มิได้บัญญัติว่าที่ดินที่จะเป็นที่ธรณีสงฆ์จะต้องเป็นที่ดินมีโฉนดเท่านั้น ดังนั้น แม้ที่ดินที่มีเพียงสิทธิครอบครองเช่นเดียวกับที่ดินพิพาทก็สามารถเป็นที่ธรณีสงฆ์ได้ถ้าหากมีการยกให้ที่ดินที่มีเพียงการครอบครองให้แก่วัดที่ดินดังกล่าวก็ตกเป็นที่ธรณีสงฆ์ เมื่อเป็นที่ธรณีสงฆ์แล้วต่อมาผู้แทนของวัดซึ่งเป็นเจ้าของที่ธรณีสงฆ์ไม่ทราบว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่ธรณีสงฆ์ ก็หาทำให้ที่ดินดังกล่าวหลุดพ้นจากการเป็นที่ธรณีสงฆ์แต่อย่างใด เมื่อโจทก์มีนางฟ้อน พระครูสุวรรณนวกิจเจ้าอาวาสโจทก์ และพันจ่าอากาศเอกคืน เบิกความเป็นพยานสอดคล้องต้องกันว่า นางฟองได้ยกที่ดินให้แก่โจทก์แล้ว ส่วนจำเลยทั้งห้าคงมีเฉพาะจำเลยที่ 1 เท่านั้นที่เบิกความว่า นางฟองยกที่ดินให้แก่ตนเมื่อ 30 ปีที่แล้ว เห็นว่า พยานโจทก์เบิกความสอดคล้องต้องกันทั้งสอดคล้องกับใบไต่สวนบันทึกถ้อยคำ เอกสารหมาย จ.10 ที่นางกิ่ง และนายสุเทพ ขอออกโฉนดตกค้างที่ดินที่อยู่ติดกับที่ดินพิพาทก็ระบุเจ้าของที่ดินข้างเคียงว่าเป็นของโจทก์ซึ่งโจทก์ได้ให้นายฉวี กำนันตำบลโผงเผงไปลงลายมือชื่อรับรองแนวเขตซึ่งกระทำขึ้นเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2525 และต่อมานางกิ่งได้ขอแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวม โจทก์ก็ลงชื่อรับรองแนวเขต ตามบันทึกข้อความเอกสารหมาย จ.16 ส่วนจำเลยทั้งห้าให้การว่า เป็นผู้ใช้และทำประโยชน์ในที่ดินมากว่า 20 ปี โดยไม่ปรากฏว่าได้มาอย่างไร แต่ในชั้นพิจารณาจำเลยที่ 1 กลับเบิกความว่านางฟองยกให้เมื่อ 30 ปีที่แล้ว จึงเป็นการนำสืบนอกคำให้การ ไม่มีน้ำหนักรับฟัง พยานหลักฐานโจทก์จึงมีน้ำหนักดีกว่าที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังว่าโจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทจึงชอบแล้ว ไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของจำเลยทั้งห้าเพราะไม่มีผลทำให้คดีเปลี่ยนแปลง”
พิพากษายืน ให้จำเลยทั้งห้าใช้ค่าทนายความในชั้นนี้แทนโจทก์ 1,000 บาท

Share