คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7355/2553

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเคยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับ บ. บุตรของ น. ในคดีที่พิพาทกันเรื่องมรดกของ น. โดยตกลงแบ่งทรัพย์มรดกกันหลายรายการและมีข้อตกลงให้จำเลยรับชำระหนี้ของ บ. ที่มีต่อธนาคารและหนี้สินในการค้าผลไม้ซึ่งมีหนี้ที่โจทก์เป็นเจ้าหนี้รวมอยู่ด้วย ข้อตกลงตามสัญญาประนีประนอมดังกล่าวส่วนหนึ่งเป็นประโยชน์แก่โจทก์ซึ่งไม่ได้เป็นคู่สัญญา จึงมีลักษณะเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์แก่บุคคลภายนอก ตาม ป.พ.พ. 374 โจทก์จึงมีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระหนี้ดังกล่าวแก่โจทก์ได้โดยตรงตามบทบัญญัติดังกล่าว
การที่โจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญาเพื่อประโยชน์แก่บุคคลภายนอกเท่ากับโจทก์แสดงเจตนาว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญาเพื่อประโยชน์แก่บุคคลภายนอกซึ่งเป็นกรณีที่ไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะ มิใช่กรณีโจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องเรียกค่าผลไม้ในฐานะผู้ประกอบการค้าซึ่งมีอายุความ 2 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/34 (1) คดีของโจทก์จึงมีอายุความ 10 ปี ตามมาตรา 193/30

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 174,556 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 140,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน คืนค่าขึ้นศาลในอนาคตที่โจทก์เสียเกินมาในชั้นศาลชั้นต้น 100 บาท ให้แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 238 ประกอบมาตรา 247 ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 5 ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยกับนายเนี้ยว สามีเป็นหนี้ค่าซื้อผลไม้จากโจทก์เป็นเงิน 140,000 บาท จำเลยกับนายบัญญัติ บุตรของนายเนี้ยวทำสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีที่พิพากษากันเกี่ยวกับมรดกนายเนี้ยวและศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 580/2544 หมายเลขแดงที่ 2219/2544 ของศาลชั้นต้น มีปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของโจทก์ว่า สัญญาประนีประนอมยอมความเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์แก่บุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374 หรือไม่ เห็นว่า สัญญาประนีประนอมยอมความ ข้อ 7 มีข้อความระบุว่า “โจทก์ (จำเลยในคดีนี้) ตกลงรับผิดชอบในหนี้สินที่มีต่อธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาเชียงราย หนี้สินการค้าผลไม้เป็นเงินจำนวน 1,511,390 บาท แต่ฝ่ายเดียว” และตามบัญชีหนี้สินแนบท้ายสัญญาประนีประนอมยอมความ ระบุว่า โจทก์ (จำเลยในคดีนี้) กับนายเนี้ยวมีหนี้เงินกู้กับธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาเชียงราย เป็นเงิน 634,472 บาท หนี้สินการค้าผลไม้เป็นเงิน 876,918 บาท เมื่อรวมยอดหนี้ทั้งสองจำนวนแล้วเป็นเงิน 1,511,390 บาท เท่ากับจำนวนหนี้ที่โจทก์ (จำเลยในคดีนี้) ตกลงยอมรับผิดชอบแต่ฝ่ายเดียว และเมื่อพิจารณาบิลส่งของแสดงหนี้สินการค้าผลไม้ ซึ่งเป็นเอกสารประกอบการไกล่เกลี่ยเพื่อประนีประนอมยอมความ ปรากฏว่ามีบิลส่งของที่รวมบิลส่งของของโจทก์อยู่ด้วยทั้งหมด 7 ฉบับ รวมเป็นหนี้สินการค้าผลไม้ทั้งสิ้น 876,918 บาท เท่ากับบัญชีหนี้สินแนบท้ายสัญญาประนีประนอมยอมความพอดี การที่โจทก์ (จำเลยในคดีนี้) ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับนายบัญญัติก็เพื่อยุติข้อพิพาทเกี่ยวกับมรดกของนายเนี้ยว ซึ่งตามสัญญาประนีประนอมยอมความ มีการตกลงแบ่งทรัพย์สินกันหลายรายการ และมีข้อตกลงให้โจทก์ (จำเลยในคดีนี้) รับผิดชอบชำระหนี้สินที่มีต่อธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาเชียงราย และหนี้สินการค้าผลไม้ซึ่งหลักฐานบ่งชี้ชัดเจนว่ารวมหนี้ที่มีต่อโจทก์ด้วย อันเป็นเงื่อนไขสำคัญประการหนึ่งในการยุติข้อพิพาท และนายบัญญัติตกลงยอมรับและยุติข้อพิพาทด้วย ข้อตกลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์ (จำเลยในคดีนี้) กับนายบัญญัติจึงมีส่วนหนึ่งที่มีลักษณะเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์แก่บุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374 รวมอยู่ด้วย เมื่อจำเลยตกลงยอมรับผิดชอบชำระหนี้การค้าผลไม้ซึ่งรวมหนี้ที่มีต่อโจทก์ด้วย โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะเรียกให้จำเลยชำระหนี้ได้ การที่โจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระหนี้เท่ากับเป็นการแสดงเจตนาว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญานั้นแล้ว เมื่อกรณีเป็นเรื่องสัญญาเพื่อประโยชน์ของบุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374 ซึ่งไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะมีอายุความ 10 ปี ตามมาตรา 193/30 เมื่อนับแต่วันที่โจทก์มีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระหนี้จนถึงวันฟ้องยังไม่ถึง 10 ปี คดีของโจทก์ไม่ขาดอายุความ และเมื่อข้อเท็จจริงฟังว่าจำเลยและนายเนี้ยวมีหนี้ค่าซื้อผลไม้ค้างชำระโจทก์เป็นเงิน 140,000 บาท จำเลยต้องรับผิดชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันผิดนัด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 วรรคหนึ่ง ให้แก่โจทก์ ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 140,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 3 สิงหาคม 2542 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้อง ไม่เกิน 34,556 บาท ตามที่โจทก์ขอ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ

Share