แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
คดีก่อนจำเลยฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นจำเลยให้รับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันและผู้จำนองตามสัญญาจำนองฉบับเดียวกับที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ แต่โจทก์ไม่ได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในคำให้การว่าสัญญาจำนองตกเป็นโมฆะ เพื่อให้เกิดประเด็นข้อพิพาทในคดีก่อนอันเป็นความบกพร่องไม่รอบคอบของโจทก์เองที่ไม่ได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ไว้ เมื่อศาลพิพากษาให้มีการบังคับจำนองและคดีถึงที่สุดไปแล้ว เช่นนี้ โจทก์จะกลับมาฟ้องคดีใหม่อ้างเหตุว่า สัญญาจำนองตกเป็นโมฆะ เพื่อมิให้คำพิพากษาในคดีก่อนมีผลใช้บังคับแก่โจทก์หาได้ไม่ เพราะเท่ากับเป็นการรื้อร้องฟ้องคดีที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดทั้งๆ ที่เป็นคู่ความรายเดียวกันซึ่งต้องผูกพันตามคำพิพากษาในคดีก่อน ให้ต้องกลับมาวินิจฉัยซ้ำในเหตุเดียวกันอีกว่า โจทก์ต้องรับผิดตามสัญญาจำนองหรือไม่ ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148 ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลอุทธรณ์มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) โดยไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาเพิกถอนนิติกรรมจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 97 และให้จำเลยทั้งสองไปจดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรมจำนองที่ดินแปลงดังกล่าว หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยทั้งสองให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์แทนจำเลยทั้งสองเป็นเงิน 1,500 บาท
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้เถียงกันรับฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2538 โจทก์จดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 97 พร้อมสิ่งปลูกสร้างไว้แก่จำเลยที่ 1 เพื่อเป็นประกันหนี้เบิกเงินเกินบัญชีของห้างหุ้นส่วนจำกัดสามกริชอุบลก่อสร้าง ในวงเงิน 5,000,000 บาท ในการจดทะเบียนจำนองดังกล่าว จำเลยที่ 1 ได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้กระทำการแทน ตามสำเนาหนังสือมอบอำนาจ ต่อมาห้างหุ้นส่วนจำกัดสามกริชอุบลก่อสร้างผิดนัดไม่ชำระหนี้ จำเลยที่ 1 จึงฟ้องห้างหุ้นส่วนจำกัดสามกริชอุบลก่อสร้างและโจทก์กับพวกรวม 6 คน ให้ชำระหนี้และบังคับจำนอง โจทก์ซึ่งเป็นจำเลยที่ 2 ในคดีดังกล่าวให้การต่อสู้ว่า โจทก์ไม่ต้องรับผิดตามสัญญาจำนองเพราะห้างหุ้นส่วนจำกัดสามกริชอุบลก่อสร้างไม่ได้เป็นหนี้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 บอกกล่าวบังคับจำนองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายศาลชั้นต้นพิพากษาให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดสามกริชอุบลก่อสร้างและโจทก์กับพวกร่วมกันชำระหนี้แก่จำเลยที่ 1 หากไม่ชำระหรือชำระไม่ครบ ให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 97 พร้อมสิ่งปลูกสร้างและทรัพย์จำนองอื่นออกขายทอดตลาดชำระหนี้ หากไม่พอชำระหนี้ให้บังคับเอาแก่ทรัพย์สินของโจทก์กับพวกจนกว่าจะครบ คดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้วปรากฏตามคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ 1418/2542 คดีหมายเลขแดงที่ 1362/2545 ของศาลชั้นต้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยมีว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำหรือไม่ เห็นว่า คดีก่อนจำเลยที่ 1 ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นจำเลยที่ 2 ให้รับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันและผู้จำนองตามสัญญาจำนองฉบับเดียวกับที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ แต่โจทก์ไม่ได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในคำให้การว่า สัญญาจำนองตกเป็นโมฆะ เพื่อให้เกิดประเด็นข้อพิพาทในคดีก่อนอันเป็นความบกพร่องไม่รอบคอบของโจทก์เองที่ไม่ได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ไว้ เมื่อศาลพิพากษาให้มีการบังคับจำนองและคดีถึงที่สุดไปแล้ว เช่นนี้ โจทก์จะกลับมาฟ้องคดีใหม่อ้างเหตุว่า สัญญาจำนองตกเป็นโมฆะ เพื่อมิให้คำพิพากษาในคดีก่อนมีผลใช้บังคับแก่โจทก์หาได้ไม่ เพราะเท่ากับเป็นการรื้อร้องฟ้องคดีที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดทั้งๆ ที่เป็นคู่ความรายเดียวกันซึ่งต้องผูกพันตามคำพิพากษาในดคีก่อน ให้ต้องกลับมาวินิจฉัยซ้ำในเหตุเดียวกันอีกว่า โจทก์ต้องรับผิดตามสัญญาจำนองหรือไม่ ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) โดยไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 1,000 บาท แทนจำเลยทั้งสอง