คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4590/2552

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การแสดงหรือบันทึกการแสดงของนักแสดงที่ได้จัดทำขึ้นก่อนการใช้บังคับพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 ไม่อยู่ภายในขอบเขตการคุ้มครองของพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 78 วรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนักแสดงโดยเป็นนักร้อง จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทน จำเลยที่ 3 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีจำเลยที่ 4 และที่ 5 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทน เมื่อประมาณ ปี 2495-2500 และปี 2503-2510 โจทก์ร้องเพลงเพื่อใช้เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์และบันทึกลงแผ่นเสียงจำนวนหลายร้อยเพลง ณ ห้องบันทึกเสียงของจำเลยที่ 3 โดยจำเลยที่ 3 จัดทำสิ่งบันทึกเสียงต้นฉบับ (มาสเตอร์) แล้วเก็บไว้ใช้บันทึกลงแผ่นเสียง เสียงร้องเพลงต่าง ๆ ที่โจทก์บันทึกเสียงลงต้นฉบับดังกล่าวจึงเป็นสิทธิของนักแสดงของโจทก์แต่เพียงผู้เดียวตามกฎหมาย ต่อมาวันเวลาใดไม่ปรากฏชัดในเดือนกรกฎาคม 2546 จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 โดยจำเลยที่ 4 ที่ 5 ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนได้ร่วมกันกระทำความผิดฐานละเมิดสิทธิของนักแสดงของโจทก์ต่างกรรมต่างวาระกันคือ จำเลยที่ 3 โดยจำเลยที่ 4 ที่ 5 มอบต้นฉบับเสียงร้องเพลงของโจทก์ดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 เพื่อประโยชน์ร่วมกันของจำเลยทั้งห้า โดยรู้อยู่แล้วว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีเจตนานำต้นฉบับสิ่งบันทึกเสียงร้องเพลงของโจทก์ไปทำซ้ำเพื่อบันทึกขึ้นใหม่ลงในสิ่งบันทึกเสียง (เทปเพลง) และแผ่นซีดีเพลง (คอมแพคดิสก์) โดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ เพื่อนำออกขาย เสนอขาย แก่บุคคลทั่วไป และเผยแพร่ต่อสาธารณชนเพื่อค้าหากำไรและจำหน่ายตามสาขาต่าง ๆ ของจำเลยที่ 3 ในเขตกรุงเทพมหานครโดยจำเลยทั้งห้ารู้อยู่แล้วว่างานดังกล่าวได้ทำขึ้นโดยละเมิดสิทธิของนักแสดงของโจทก์และโดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 4, 6, 44, 45, 49, 50, 52, 53, 69, 74, 76, 78 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 และขอให้สั่งจ่ายเงินค่าปรับกึ่งหนึ่งแก่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของสิทธิของนักแสดง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งห้าให้การปฏิเสธ
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ จำเลยที่ 1 กับที่ 2 และจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังยุติตามที่โจทก์และจำเลยทั้งห้านำสืบรับและไม่ได้โต้เถียงกันในชั้นนี้ว่า ระหว่างปี 2496-2510 โจทก์รับจ้างขับร้องเพลงไทยสากลหลายพันเพลงโดยส่วนใหญ่จะทำการบันทึกเสียงในห้องบันทึกเสียงของจำเลยที่ 3 เพื่อทำแผ่นเสียง และทำเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ การบันทึกเสียงจะทำเป็นมาสเตอร์เทปก่อน แล้วจึงนำไปผลิตแผ่นเสียง ต่อมาตามวันเวลาเกิดเหตุ จำเลยที่ 3 โดยจำเลยที่ 4 แต่งตั้งมอบอำนาจให้นายสุรพล ทำสัญญาให้จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 เช่าหรือใช้สิทธิในลิขสิทธิ์เพลงไปผลิตแผ่นซีดีเพลงที่มีเสียงขับร้องของโจทก์และเสียงดนตรีตามต้นฉบับเดิมที่บันทึกเสียงลงมาสเตอร์เทปดังกล่าวโดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ ตามแผ่นซีดีเพลงวัตถุพยานหมาย วจ.3 และ วจ.4 แล้วจำเลยที่ 1 นำแผ่นซีดีเพลงออกขายแก่บุคคลทั่วไปเพื่อหากำไรทางการค้า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ว่าการแสดงหรือบันทึกการแสดงของนักแสดงที่ได้จัดทำขึ้นก่อนการใช้บังคับของพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 จะได้รับการคุ้มครองตามมาตรา 78 วรรคสอง ของพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 หรือไม่ ในปัญหานี้ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางได้วินิจฉัยว่า สิทธิของนักแสดงที่เกิดขึ้นก่อนการใช้บังคับของพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 ได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 78 วรรคสอง แต่จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์ว่าสิทธิของนักแสดงไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายดังกล่าว เห็นว่า มาตรา 78 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 เป็นบทเฉพาะกาลที่บัญญัติขึ้นเพื่อให้ควมคุ้มครองลิขสิทธิ์แก่งานที่ได้จัดทำขึ้นก่อนวันที่พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 ใช้บังคับ และไม่มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองวรรณกรรมและศิลปกรรมพุทธศักราช 2474 และพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2521 แต่เป็นงานที่ได้รับความคุ้มครองลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 จึงให้ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 ซึ่งเห็นได้ว่า มาตรา 78 ทั้งวรรคหนึ่งและวรรคสองเป็นเรื่องเกี่ยวกับการคุ้มครองลิขสิทธิ์ แต่สิทธิของนักแสดงเป็นสิทธิข้างเคียง (Related Rights หรือ Neighboring Rights) ของลิขสิทธิ์ แม้จะอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายว่าด้วยลิขสิทธิ์เช่นกัน แต่ก็ไม่ใช่สิทธิอย่างเดียวกันกับลิขสิทธิ์ นอกจากนี้พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 ยังได้บัญญัติแยกลิขสิทธิ์ไว้ในหมวด 1 และสิทธิของนักแสดงไว้ในหมวด 2 ทั้งเมื่อพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 ประสงค์ให้ใช้บังคับบทบัญญัติใดแก่ทั้งลิขสิทธิ์ของนักแสดงก็จะบัญญัติไว้ชัดเจน เช่น มาตรา 61 ในหมวด 5 ว่าด้วยลิขสิทธิ์และสิทธิของนักแสดงระหว่างประเทศและมาตรา 62-66 ในหมวด 6 ว่าด้วยคดีเกี่ยวกับลิขสิทธิ์และสิทธิของนักแสดง นอกจากนี้ในหมวด 2 ว่าด้วยสิทธิของนักแสดง ก็มีบทบัญญัติเฉพาะเกี่ยวกับประเภทของสิทธิของนักแสดง เงื่อนไขแห่งการได้มาซึ่งสิทธิ อายุแห่งการคุ้มครอง การโอนสิทธิ การละเมิดสิทธิของนักแสดง และข้อยกเว้นการละเมิดสิทธิตามมาตรา 44 ถึงมาตรา 52 แม้กฎหมายจะบัญญัติให้นำบทบัญญัติข้อยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์มาใช้บังคับแก่สิทธิของนักแสดงโดยอนุโลมตามมาตรา 53 ก็ตาม ฉะนั้น การแสดงหรือบันทึกการแสดงของนักแสดงที่ได้จัดทำขึ้นก่อนการใช้บังคับของพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 จึงไม่ได้รับความคุ้มครอง การที่โจทก์รับจ้างขับร้องเพลงโดยบันทึกเสียงในห้องบันทึกระหว่างปี 2496-2510 ไม่ว่าจะมีสิทธิของนักแสดงหรือไม่ก็ตาม ย่อมไม่อยู่ภายในขอบเขตการคุ้มครองของพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ข้อนี้ฟังขึ้น ส่วนที่จำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 อุทธรณ์ว่า จำเลยที่ 3 เป็นผู้มีลิขสิทธิ์แต่ผู้เดียวในงานเพลงและสิ่งบันทึกเสียง (มาสเตอร์เทป) พิพาท โจทก์ไม่มีลิขสิทธิ์ในสิ่งบันทึกเสียง (มาสเตอร์) ซึ่งบันทึกเสียงโจทก์และเก็บไว้ที่จำเลยที่ 3 การกระทำของจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 จึงไม่เป็นความผิดตามฟ้องนั้น เห็นว่า คดีโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งห้าในความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์ของนักแสดงของโจทก์ ไม่ใช่ละเมิดลิขสิทธิ์สิ่งบันทึกเสียง (มาสเตอร์เทป) และไม่ใช่กรณีพิพาทกันในเรื่องลิขสิทธิ์ในงานเพลงและสิ่งบันทึกเสียง (มาสเตอร์เทป) ที่เก็บไว้ที่จำเลยที่ 3 อุทธรณ์ของจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 45 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศจึงไม่รับวินิจฉัยให้ ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษายกฟ้องนั้น ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นพ้องด้วยในผล คดีไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาอื่นต่อไป เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป”
พิพากษายืน

Share