แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยทั้งสองเป็นผู้ขนส่งสินค้าที่พิพาทแต่ไม่นำสินค้าไปส่งให้แก่ผู้รับตราส่งตามสัญญา เนื่องจากลูกจ้างของจำเลยทั้งสองที่ปลายทาง นำสินค้าไปส่งมอบให้แก่ผู้อื่นที่ไม่ใช่ผู้รับตราส่งและไม่ตรงตามสถานที่ที่ระบุไว้ในใบรับขนทางอากาศ ทำให้ไม่สามารถนำสินค้าที่พิพาทกลับคืนมา ถือว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นเพราะความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของลูกจ้างจำเลยทั้งสอง แม้จะมีเงื่อนไขจำกัดความรับผิดในความสูญหายของสินค้าไว้ที่ด้านหลังใบรับขนทางอากาศก็ไม่อาจนำเงื่อนไขจำกัดความรับผิดในการขนส่งทางอากาศมาใช้บังคับแก่กรณีดังกล่าวได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 373 จำเลยทั้งสองจึงต้องร่วมกันรับผิดเต็มมูลค่าราคาสินค้าโดยไม่อาจอ้างข้อจำกัดความรับผิดได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายและดอกเบี้ยถึงวันฟ้องให้แก่โจทก์รวมจำนวน 230,595 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 217,500 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินแก่โจทก์จำนวน 500 ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 6 กรกฎาคม 2548) จนกว่าจะชำระเสร็จ ในกรณีที่จำเลยทั้งสองจะชำระเป็นเงินบาท ให้คิดตามอัตราแลกเปลี่ยนโดยเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ที่ขายให้ลูกค้าในวันที่ใช้เงินจริง ถ้าอัตราแลกเปลี่ยนในวันดังกล่าวไม่มีก็ให้ถือเอาวันสุดท้ายที่มีอัตราแลกเปลี่ยนเช่นว่านั้นก่อนวันดังกล่าว ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองต้องร่วมรับผิดชำระค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์เพียงใด เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองเป็นผู้ขนส่งสินค้าพิพาท แต่ไม่นำสินค้าไปส่งให้แก่ผู้รับตราส่งตามสัญญา เนื่องจากลูกจ้างของจำเลยทั้งสองที่ปลายทางนำสินค้าไปส่งมอบให้แก่ผู้อื่นที่มิใช่ผู้รับตราส่ง และไม่ตรงตามสถานที่ส่งมอบที่ระบุไว้ในใบรับขนทางอากาศ ทั้งไม่สามารถนำสินค้ากลับคืนมา และไม่มีมาตรการเพื่อคุ้มครองผู้ใช้บริการ จำเลยทั้งสองจึงต้องร่วมกันรับผิดเต็มมูลค่าราคาสินค้าโดยไม่อาจอ้างข้อจำกัดความรับผิดได้ จำเลยทั้งสองไม่ได้แสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การว่า จำเลยทั้งสองไม่ได้กระทำการตามข้ออ้างของโจทก์แต่อย่างใด เพียงแต่ให้การว่าจำเลยทั้งสองจำกัดความรับผิดไว้ในใบรับขนทางอากาศไม่เกิน 500 ดอลลาร์สหรัฐ กรณีจึงถือว่าจำเลยทั้งสองยอมรับข้อเท็จจริงตามข้ออ้างของโจทก์ว่า ผู้รับตราส่งไม่ได้รับสินค้าพิพาทเนื่องจากลูกจ้างของจำเลยทั้งสองที่ปลายทางนำสินค้าไปส่งมอบให้แก่ผู้อื่นที่มิใช่ผู้รับตราส่ง และไม่ตรงตามสถานที่ส่งมอบที่ระบุไว้ในใบรับขนทางอากาศ ที่จำเลยทั้งสองนำสืบต่อสู้ว่าบริษัทผู้ส่งระบุที่อยู่ของผู้รับตราส่งผิดไป เป็นเหตุให้จำเลยที่ 2 นำสินค้าไปส่งผิดสถานที่ ก็เป็นการนำสืบนอกคำให้การนอกประเด็น แม้ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางจะวินิจฉัยให้ ก็เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา จึงต้องห้ามมิให้รับฟัง เมื่อคดีรับฟังได้ดังกล่าว ถือได้ว่าผู้รับตราส่งไม่ได้รับสินค้าพิพาท อันเนื่องจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของจำเลยทั้งสองและลูกจ้าง ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 373 บัญญัติว่า “ความตกลงทำไว้ล่วงหน้าเป็นข้อความยกเว้นมิให้ลูกหนี้ต้องรับผิดเพื่อกลฉ้อฉลหรือความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของตนนั้นท่านว่าเป็นโมฆะ” ดังนั้น แม้จำเลยทั้งสองจะมีเงื่อนไขจำกัดความรับผิดในความสูญหายของสินค้าไว้ที่ด้านหลังใบรับขนทางอากาศก็ไม่อาจนำเงื่อนไขจำกัดความรับผิดในการขนส่งทางอากาศดังกล่าวมาใช้บังคับแก่การกระทำละเมิดต่อผู้ส่งสินค้าได้ สำหรับจำนวนค่าสินไหมทดแทนนั้น ได้ความตามบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นของนายจักรกฤษณ์ พยานโจทก์ว่า ในใบรับขนทางอากาศ ได้ระบุราคาสินค้าไว้เป็นเงิน 217,500 บาท ซึ่งตรงกับมูลค่าราคาสินค้าในใบกำกับสินค้า โจทก์ผู้รับประกันภัยการขนส่งสินค้ารายนี้ตามมูลค่าราคาสินค้ารวมกับค่าใช้จ่ายให้การจัดส่งอีกร้อยละ 10 ของมูลค่าสินค้า คิดเป็นเงินที่เอาประกันภัยไว้ทั้งสิ้น 239,250 บาท ตามกรมธรรม์ประกันภัย โจทก์ได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าวเป็นเงิน 217,500 บาท ให้แก่แจสมิน คอลเลคชั่น ผู้ซื้อซึ่งเป็นผู้รับตราส่งไปเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2547 ตามสำเนาหนังสือตกลงรับค่าสินไหมทดแทนและรับช่วงสิทธิเอกสาร ดังนั้นโจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวนดังกล่าวตามฟ้อง ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์เพียง 500 ดอลลาร์สหรัฐ นั้น ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น
อนึ่ง ทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นนี้มีเพียง 230,595 บาท หักด้วยเงินจำนวน 500 ดอลลาร์สหรัฐ โดยให้คิดเป็นเงินบาทตามอัตราแลกเปลี่ยนโดยเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ที่ขายให้แก่ลูกค้าในวันที่โจทก์ยื่นอุทธรณ์ ดังนั้นที่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลในชั้นนี้จากทุนทรัพย์ 230,595 บาท จึงเป็นการเสียค่าขึ้นศาลเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ให้คืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินมาให้แก่โจทก์
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 217,500 บาท ให้แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 17 กันยายน 2547 จนกว่าจะชำระเสร็จ คืนค่าขึ้นศาลในชั้นนี้ส่วนที่เสียเกินมาให้แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ นอกจากที่ศาลสั่งคืนให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง.