แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาสำหรับคดีในเนื้อหาที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสี่ให้ร่วมกันรับผิดตามสัญญาบัญชีเดินสะพัด กู้เบิกเงินเกินบัญชี ตั๋วเงิน ค้ำประกัน และจำนองเสร็จสิ้นแล้วเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2547 เมื่อไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษา คดีย่อมถึงที่สุดตั้งแต่เมื่อสิ้นระยะเวลาอุทธรณ์คือ วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2547 ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 147 วรรคสอง ดังนั้น เมื่อโจทก์เห็นว่าการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์ต้องชำระค่าขึ้นศาลเพิ่มอีกจำนวน 137,895 บาท ไม่ถูกต้องตามตาราง 1 (1) (ก) ท้าย ป.วิ.พ. โจทก์ก็ชอบที่จะใช้สิทธิอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวตาม ป.วิ.พ. มาตรา 168 แต่เมื่อโจทก์มิได้ใช้สิทธิอุทธรณ์และคดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์จึงหามีสิทธิยื่นคำแถลงให้ศาลชั้นต้นคืนค่าขึ้นศาลจำนวน 137,895 บาท ได้ไม่
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงิน 69,905,792.29 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี ของต้นเงิน 4,484,161.15 บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงิน 10,795,285 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21.5 ต่อปี ของต้นเงิน 37,749,889 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วน ให้โจทก์ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 1722, 10464, 10465, 10466 ตำบลมะขามเตี้ย อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานี พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์ หากได้เงินสุทธิไม่พอชำระหนี้ ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสี่ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์จนครบ และให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท
โจทก์ยื่นคำแถลงขอให้มีคำสั่งคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินให้แก่โจทก์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำแถลง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายกอุทธรณ์ คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดให้แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์นอกจากนี้ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาสำหรับคดีในเนื้อหาที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสี่ให้ร่วมกันรับผิดตามสัญญาบัญชีเดินสะพัด กู้เบิกเงินเกินบัญชีตั๋วเงิน ค้ำประกัน และจำนองเสร็จสิ้นแล้วเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2547 ต่อมาวันที่ 14 ธันวาคม 2550 โจทก์ยื่นคำแถลงขอรับเงินค่าขึ้นศาลบางส่วนจำนวน 137,895 บาท คืน อ้างเหตุโจทก์ชำระเกินไปจากที่กฎหมายกำหนด เพราะศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์ชำระเพิ่มจากที่ชำระแล้วจำนวน 200,000 บาท ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันเดียวกันให้ยกคำแถลง ต่อมาวันที่ 14 มกราคม 2551 โจทก์ยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ไม่รับวินิจฉัย โดยระบุมิใช่เหตุตามกฎหมายที่จะอุทธรณ์ได้ เมื่อโจทก์ยื่นอุทธรณ์โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเกี่ยวกับคำแถลงของโจทก์ อุทธรณ์ของโจทก์จึงต้องตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 และเป็นอุทธรณ์ที่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลอุทธรณ์ภาค 8 จะต้องรับวินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย และเมื่อสำนวนขึ้นสู่ศาลฎีกาแล้ว เพื่อมิให้การดำเนินกระบวนพิจารณาต้องล่าช้าในอันที่จะต้องย้อนสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 8 ให้พิจารณาพิพากษาอีกครั้งหนึ่ง ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปเสียทีเดียว เห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2547 และไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษา คดีย่อมถึงที่สุดตั้งแต่เมื่อสิ้นระยะเวลาอุทธรณ์คือวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2547 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 147 วรรคสอง ฉะนั้น เมื่อโจทก์เห็นว่าการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์ต้องชำระค่าขึ้นศาลเพิ่มอีกนำนวน 137,895 บาท ไม่ถูกต้องตามตาราง 1 (1) (ก) ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง โจทก์ก็ชอบที่จะใช้สิทธิอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 168 แต่เมื่อโจทก์มิได้ใช้สิทธิอุทธรณ์และคดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์จึงหามีสิทธิยื่นคำแถลงให้ศาลชั้นต้นคืนค่าขึ้นศาลจำนวน 137,895 บาท ได้ไม่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำแถลงของโจทก์ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 และพิพากษายืนตามคำสั่งของศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.