คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6412/2551

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

จำเลยให้การตอนแรกว่าจำเลยไม่เคยทำสัญญาใดๆ ตามฟ้อง ลายมือชื่อในสัญญาเป็นลายมือชื่อปลอม แต่ตอนหลังจำเลยให้การว่าโจทก์ไม่ได้บอกเลิกสัญญาตัวแทนและสัญญาอื่นๆ โจทก์คิดดอกเบี้ยไม่ชอบด้วยกฎหมายและโจทก์ฝ่าฝืน พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฯ เนื่องจากไม่รีบบังคับขายหุ้นเมื่ออัตราส่วนของหลักประกันต่ำลง จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ดังนี้ คำให้การของจำเลยขัดแย้งกันถือว่าเป็นคำให้การที่มิได้แสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การว่าจำเลยปฏิเสธคำฟ้องของโจทก์ว่าไม่ได้ทำสัญญาแต่งตั้งโจทก์เป็นตัวแทนในการซื้อขายหลักทรัพย์ เป็นคำให้การที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสอง จึงไม่มีประเด็นที่จำเลยจะนำสืบตามคำให้การและไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบ ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ส่งตัวอย่างลายมือชื่อของจำเลยไปตรวจพิสูจน์ที่กองพิสูจน์หลักฐาน สำนักงานวิทยาการตำรวจจึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบ ไม่สามารถนำผลการตรวจพิสูจน์ดังกล่าวมาเป็นพยานหลักฐานได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ตามสัญญาซื้อขายหลักทรัพย์รวมต้นเงินและดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน 42,340,387.04 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21 ต่อปี จากต้นเงิน 36,369,463.74 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย กำหนดค่าทนายความเป็นเงิน 30,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยไม่แก้อุทธรณ์จึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยตั้งโจทก์เป็นตัวแทนในการซื้อขายหลักทรัพย์ในคดีนี้และต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2537 จำเลยเข้าเป็นลูกค้าของโจทก์โดยแต่งตั้งโจทก์เป็นตัวแทนนายหน้าในการซื้อขายหลักทรัพย์และเปิดบัญชีเดินสะพัดเพื่อการซื้อขายหลักทรัพย์ไว้กับโจทก์ โดยมีความประสงค์ให้โจทก์ออกเงินทดรองเพื่อซื้อหลักทรัพย์ จำเลยให้การตอนแรกว่าจำเลยไม่เคยทำสัญญาใดๆ ตามฟ้อง ลายมือชื่อในสัญญาหรือเอกสารใดๆ เป็นลายมือชื่อปลอมไม่ใช่ลายมือชื่อของจำเลย แต่ตอนหลังจำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ได้บอกเลิกสัญญาตัวแทนและสัญญาอื่นๆ โจทก์คิดดอกเบี้ยโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และโจทก์กระทำฝ่าฝืนพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เนื่องจากไม่รีบบังคับขายหุ้นเมื่ออัตราส่วนของหลักประกันต่ำลง ซึ่งหากโจทก์รีบบังคับขายหุ้นของจำเลย ซึ่ง ณ วันที่ 13 สิงหาคม 2540 จำเลยมีหุ้นรวม 1,066,900 หุ้น จะขายได้ในราคาหุ้นละ 42.25 บาท เป็นเงิน 45,076,525 บาท สามารถนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ได้ แต่โจทก์กลับเพิกเฉยเป็นความผิดของโจทก์ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ดังนี้ คำให้การของจำเลยจึงขัดแย้งกัน ถือว่าจำเลยมิได้แสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การว่าจำเลยปฏิเสธคำฟ้องของโจทก์ว่าไม่ได้ทำสัญญาแต่งตั้งโจทก์เป็นตัวแทนในการซื้อขายหลักทรัพย์ในคดีนี้ เป็นคำให้การที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง จึงไม่มีประเด็นที่จะนำสืบตามคำให้การ ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ส่งตัวอย่างลายมือชื่อของจำเลยและลายมือชื่อในเอกสารหมาย จ.6 ถึง จ.23 จ.26 และ จ.37 ถึง จ.40 ไปยังกองพิสูจน์หลักฐาน สำนักงานวิทยาการตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อตรวจพิสูจน์ว่าลายมือชื่อในเอกสารหมาย จ.6 ถึง จ.23 จ.26 และจ.37 ถึง จ.40 เป็นลายมือชื่อของจำเลยหรือไม่ตามคำแถลงของทนายจำเลย จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบ ศาลล่างทั้งสองไม่สามารถนำผลการตรวจพิสูจน์ดังกล่าวมาเป็นพยานหลักฐานในคดีนี้ได้เนื่องจากจำเลยไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบ โจทก์มีนางสาวเยาวลักษณ์ และนางสาวธิตินัดดามาเบิกความประกอบหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.6 สัญญานายหน้าตัวแทนและบัญชีเดินสะพัดเอกสารหมาย จ.7 หนังสือแต่งตั้งตัวแทนและนายหน้าให้ซื้อขายหลักทรัพย์เอกสารหมาย จ.8 คำขอเป็นลูกค้าและเปิดบัญชีเดินสะพัดเอกสารหมาย จ.37 สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของจำเลยเอกสารหมาย จ.38 สำเนาทะเบียนบ้านของจำเลยเอกสารหมาย จ.39 และบัตรตัวอย่างลายมือชื่อเอกสารหมาย จ.40 ได้ความว่า เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2537 จำเลยได้ทำสัญญาตั้งโจทก์เป็นตัวแทนในการซื้อขายหลักทรัพย์ตามที่โจทก์ฟ้องและข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามที่พยานโจทก์ทั้งสองปากดังกล่าวเบิกความประกอบเอกสารหมาย จ.1 ถึง จ.40 ว่า จำเลยสั่งให้โจทก์ซื้อหลักทรัพย์หลายรายการระหว่างวันที่ 4 ถึงวันที่ 27 ตุลาคม 2537 รายละเอียดตามใบยืนยันการซื้อขายหลักทรัพย์เอกสารหมาย จ.9 ถึง จ.23 รวมเป็นเงินค่าซื้อหลักทรัพย์ประมาณ 80,000,000 บาท ซึ่งโจทก์ได้ออกทดรองไปแล้ว ต่อมาจำเลยได้ชำระหนี้บางส่วนและโจทก์ได้บังคับขายหุ้นของจำเลยนำเงินมาชำระหนี้แล้ว แต่จำเลยยังคงค้างชำระหนี้ต้นเงิน 36,369,463.74 บาท และดอกเบี้ยนับถึงวันฟ้องเป็นเงิน 5,970,923.30 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 42,340,387.04 บาท โดยโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดไม่เกินร้อยละ 21 ต่อปี ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่องกำหนดให้บริษัทเงินทุนปฏิบัติในการกู้ยืมเงินหรือรับเงินจากประชาชน และการกำหนดอัตราดอกเบี้ยหรือส่วนลดที่บริษัทเงินทุนอาจจ่ายหรืออาจเรียกได้ ลงวันที่ 28 พฤษภาคม 2535 และประกาศของโจทก์เรื่อง การกำหนดอัตราดอกเบี้ยให้กู้ยืมเงินหรือส่วนลดสูงสุดที่บริษัทฯ จะเรียกเก็บได้ ลงวันที่ 1 มิถุนายน 2535 เอกสารหมาย จ.4 และ จ.5 จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้อง ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 42,340,387.04 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 21 ต่อปีจากต้นเงิน 36,369,463.74 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 7 กรกฎาคม 2541) ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 50,000 บาท

Share