แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ม.ประจักษ์พยานยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้ายใช้มีดปลายแหลมแทงผู้ตาย รับฟังเชื่อถือไม่ได้เพราะเบิกความขัดแย้งกับที่เคยให้การไว้ในชั้นสอบสวน
โจทก์มีบันทึกคำให้การชั้นสอบสวน ของ ล. และ ม. โดย ล. ให้ถ้อยคำว่า ขณะเกิดเหตุเห็น ม. ผู้ตาย จำเลย และ ส. นั่งดื่มสุราแล้วโต้เถียงกัน มี ว. เข้าไปด่าพวกที่ทะเลาะกัน ม. ลุกขึ้นเดินไปทางหน้าบ้าน ผู้ตายเดินตามไปแล้วเดินเข้าป่าละเมาะข้างบ้าน จำเลยลุกจากโต๊ะไล่ตามผู้ตายไปติดๆ แล้วออกมาในมือถือมีดปลายแหลมด้วยอาการรีบร้อนเดินไปทางทิศเหนือ ล. เข้าใจว่าผู้ตายถูกทำร้ายจึงเข้าไปดูพบว่าได้รับบาดเจ็บ จึงเรียกคนช่วยกันนำผู้ตายส่งโรงพยาบาล ต่อมาทราบว่าถึงแก่ความตาย ม. ให้ถ้อยคำว่า ก่อนเกิดเหตุเมื่อมีการโต้เถียงกันจำเลยมีท่าทางจะทำร้ายผู้ตาย จึงชวนผู้ตายออกไป จำเลยไล่ตามผู้ตายไป ส่วนตนไปหลบในสวนยางพารา เห็นจำเลยถือมีดปลายแหลมออกจากป่าละเมาะ โจทก์ไม่ได้ตัว ล. มาเบิกความเพราะ ล. ออกจากบ้านอันเป็นภูมิลำเนาไปนานแล้ว แต่ ล. ให้ถ้อยคำต่อพนักงานสอบสวนสอดคล้องกับบันทึกถ้อยคำของ ช. พี่ชายจำเลย และของ ม. ส่วน ม. ให้ถ้อยคำต่อพนักงานสอบสวนในวันเกิดเหตุยังไม่มีเวลาจะแต่งเติมเรื่องราวเชื่อว่าได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนตามจริงตามที่รู้เห็นมา แม้คำให้การของ ล. และ ม. จะเป็นพยานบอกเล่า แต่ต้องด้วยข้อยกเว้นที่ไม่ห้ามมิให้รับฟังเป็นข้อสำคัญ เมื่อรับฟังประกอบคำรับสารภาพของจำเลยในชั้นรับมอบตัวและชั้นสอบสวน พยานโจทก์จึงมีน้ำหนักรับฟังลงโทษจำเลยได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 จำคุก 20 ปี จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 13 ปี 4 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยเป็นคนร้ายแทงฆ่าผู้ตายตามฟ้องดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษามาหรือไม่ เห็นว่า แม้โจทก์จะมีนายไมตรีเป็นประจักษ์พยานโจทก์เพียงปากเดียวที่ยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้ายลำพังที่เข้าแทงผู้ตายในขณะเกิดเหตุซึ่งรับฟังเชื่อไม่ได้เพราะขัดแย้งกับที่นายไมตรีเองเคยให้การไว้ต่อพนักงานสอบสวนตามบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนที่โจทก์อ้างสนับสนุนคดีไว้ดังที่จำเลยยกอ้างเถียงเป็นข้อสำคัญในฎีกา แต่โจทก์มีบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของนายเลยมาเสนอแสดง ซึ่งมีรายละเอียดที่นายเลยให้การต่อพนักงานสอบสวนว่า ขณะเกิดเหตุในงานเลี้ยงฉลองการสมรสที่บ้านที่เกิดเหตุของนายเลยเอง มีการโต้เถียงกันที่โต๊ะซึ่งนายไมตรี ผู้ตาย จำเลยและนายสุวัฒน์นั่งดื่มสุรากันอยู่ สักครู่นายวิชัยเข้าไปด่าจำเลยกับพวกที่ทะเลาะกัน นายไมตรีลุกขึ้นเดินมาทางหน้าบ้านมีผู้ตายเดินตามมา ต่อจากนั้นเกิดเสียงเอะอะขึ้น นายเลยเห็นจำเลยลุกขึ้นจากโต๊ะเสียงดังโครมครามแล้ววิ่งไล่ตามผู้ตายไป นายไมตรีวิ่งตรงมาทางหน้าบ้านที่นายเลยนั่งอยู่ แล้ววิ่งเลี้ยวซ้ายออกไปทางถนน ส่วนผู้ตายวิ่งผ่านหน้านายเลยเข้าไปในป่าละเมาะซึ่งเป็นสวนหย่อมที่นายเลยปลูกไว้มีหญ้าขึ้นปกคลุมท่วมศีรษะ จำเลยวิ่งไล่ตามไปติด ๆ เมื่อจำเลยออกมาจากป่าละเมาะในมือขวาถือมีดปลายแหลมโดยออกมาด้วยอาการอยู่ในลักษณะรีบร้อนเดินเร็วไปทางทิศเหนือ นายเลยเข้าใจได้ทันทีว่าผู้ตายต้องได้รับบาดเจ็บแน่ นายเลยจึงเข้าไปดูพบผู้ตายนอนหงายมีเสียงอืออาในลำคอ ต่อจากนั้นนายเลยเรียกคนมาช่วยนำผู้ตายไปส่งโรงพยาบาลและทราบในเวลาต่อมาว่าผู้ตายถึงแก่ความตาย เป็นอย่างเดียวกับที่นายวิชัยพี่ชายของจำเลยให้การไว้ในชั้นสอบสวนว่า ก่อนผู้ตายถูกแทงประมาณ 5 นาที นายวิชัยได้เข้าไปห้ามปรามผู้ตายกับพวกที่มึนเมาสุราส่งเสียงเอะอะโวยวายในงานดังกล่าว ตามบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของนายวิชัย ทั้งรับสมกับรายละเอียดในบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของนายไมตรี ดังกล่าว ที่ให้การต่อพนักงานสอบสวนว่า เมื่อเกิดการโต้เถียงกันในโต๊ะ โดยผู้ตายกับจำเลยพูดจาท้าทายกันและจำเลยมีท่าทางคล้ายจะเข้าทำร้ายผู้ตาย นายไมตรีจึงชวนผู้ตายออกมาจากโต๊ะ และได้ยินเสียงตะโกนไล่หลังว่าเก่งจริงอย่าหนี นายไมตรีหันไปดูเห็นจำเลยชักมีดปลายแหลมออกมาจากเอวแล้ววิ่งออกจากโต๊ะตามมา นายไมตรีจึงบอกผู้ตายให้วิ่งหนี เมื่อวิ่งกันไปได้ 5 ถึง 6 ก้าว ตรงไปข้างหน้าเป็นช่องแท็งก์น้ำกับตัวบ้านของนายเลย และเป็นป่าละเมาะเป็นทางตัน นายไมตรีจึงวิ่งออกไปทางซ้ายมือตัดข้ามปั๊มน้ำมันหลอดไปทางด้านถนนสายทุ่งยาว – นาโยง เลยเข้าไปหลบในสวนยางพารา เมื่อไม่เห็นผู้ตายวิ่งตามมา นายไมตรีมองกลับไปดู เห็นจำเลยอยู่ห่าง 20 เมตร ถือมีดปลายแหลมออกมาจากป่าละเมาะเดินผ่านบ้านนายเลยไปทางทิศเหนือและเห็นนายสุวัฒน์ นายวิชัย กับนายชาติชาย เดินออกจากป่าละเมาะ แต่ไม่เห็นผู้ตาย สักครู่หนึ่งมีคนตะโกนขึ้นมาว่าผู้ตายถูกแทง ต่อจากนั้นมีการนำผู้ตายไปส่งโรงพยาบาล และนายไมตรีได้แอบขึ้นรถคันดังกล่าวไปด้วย ซึ่งแม้คำให้การชั้นสอบสวนของนายเลยที่โจทก์ไม่ได้ตัวมาเบิกความเพราะนายเลยออกจากบ้านอันเป็นภูมิลำเนาไปนานแล้ว และคำให้การชั้นสอบสวนของนายไมตรีดังกล่าวเหล่านี้จะเป็นเพียงพยานบอกเล่า แต่ก็ต้องด้วยข้อยกเว้นตามบทกฎหมายที่ไม่ห้ามมิให้ศาลรับฟังในข้อสำคัญที่ว่า นายไมตรีไปให้การดังกล่าวต่อพนักงานสอบสวนเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2543 อันเป็นวันเกิดเหตุ ยังไม่มีเวลาจะแต่งเติมเรื่องราว จึงเชื่อได้ว่านายไมตรีให้การต่อพนักงานสอบสวนไปตามความจริงที่เกิดขึ้นตามที่นายไมตรีรู้เห็นซึ่งตามรายละเอียดที่นายเลยกับนายไมตรีให้การในชั้นสอบสวนไว้นั้น ฟังได้ว่าจำเลยมีเรื่องโต้เถียงกับผู้ตาย แล้วต่อมาจำเลยชักมีดปลายแหลมวิ่งไล่ตามผู้ตายซึ่งเดินออกมาจากโต๊ะ ผู้ตายวิ่งเข้าไปในป่าละเมาะโดยจำเลยลำพังวิ่งไล่ตามไปติด ๆ หลังจากนั้นจำเลยถือมีดปลายแหลมเดินออกมาจากป่าละเมาะ และปรากฏในทันทีนั้นว่าผู้ตายถูกแทงในป่าละเมาะดังกล่าว จึงย่อมเป็นพยานใกล้ชิดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่งชี้ว่าจำเลยเป็นคนใช้มีดปลายแหลมที่ถือมาแทงผู้ตาย เมื่อประกอบกับจำเลยให้การรับสารภาพในชั้นมอบตัวและในชั้นสอบสวน ตามบันทึกการมอบตัวผู้ต้องหา และบันทึกคำให้การจำเลย จึงมีน้ำหนักให้รับฟังว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้มีดแทงผู้ตายตามที่โจทก์ฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาลงโทษจำเลยนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน