คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8877/2551

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้จำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายชนะคดีไม่จำต้องอุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาก็ตาม แต่เมื่อโจทก์อุทธรณ์ว่าจำเลยที่ 1 ยังไม่ชำระหนี้ จำเลยที่ 1 ก็มีสิทธิที่จะยกประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องขึ้นแก้อุทธรณ์เพื่อให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัย แต่จำเลยที่ 1 คงแก้อุทธรณ์เฉพาะปัญหาว่าจำเลยที่ 1 ชำระหนี้แล้วหรือไม่ ประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องจึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และถือเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 3 ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง แม้ปัญหาเกี่ยวกับอำนาจฟ้องจะเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนที่จำเลยที่ 1 สามารถยกขึ้นต่อสู้ได้ก็ตาม แต่กรณีดังกล่าวต้องเป็นเรื่องที่ไม่ได้ยกปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องขึ้นต่อสู้ในศาลชั้นต้นหรือในชั้นอุทธรณ์ หาใช่ประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องยุติไปแล้วไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21 ต่อปี ของต้นเงิน 79,827.57 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยทั้งสามไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์จนครบ
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระเงิน 79,827.57 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21 ต่อปี นับแต่วันที่ 3 มิถุนายน 2541 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 3401 พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ หากได้เงินไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 1 และที่ 2 บังคับชำระหนี้จนครบ ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท จำเลยที่ 3 ไม่แก้อุทธรณ์จึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยไว้แล้วว่าโจทก์มีอำนาจฟ้อง แต่ยกฟ้องโจทก์เพราะเห็นว่าจำเลยที่ 1 ชำระหนี้เงินกู้ครบถ้วนแล้ว โจทก์เป็นผู้อุทธรณ์ แม้จำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายชนะคดีไม่จำต้องอุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษา แต่เมื่อโจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยที่ 1 ยังไม่ชำระหนี้ จำเลยที่ 1 มีสิทธิที่จะยกประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์ขึ้นแก้อุทธรณ์เพื่อให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัย แต่จำเลยที่ 1 คงแก้อุทธรณ์เฉพาะปัญหาว่าจำเลยที่ 1 ชำระหนี้เงินกู้แล้วหรือไม่ หาได้ยกปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องขึ้นแก้อุทธรณ์ด้วยไม่ ประเด็นดังกล่าวจึงยุติไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ฎีกาของจำเลยที่ 1 ในข้อนี้ถือเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 3 ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง แม้ปัญหาเกี่ยวกับอำนาจฟ้องจะเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยที่ 1 สามารถยกขึ้นต่อสู้ได้ตามที่อ้างในฎีกาก็ตาม แต่กรณีดังกล่าวต้องเป็นกรณีที่จำเลยที่ 1 ไม่ได้ยกปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องขึ้นต่อสู้ในศาลชั้นต้นหรือในชั้นอุทธรณ์ หาใช่ประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องยุติไปแล้วไม่
พิพากษายกฎีกา จำเลยที่ 1 ได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา จึงไม่มีค่าขึ้นศาลที่ต้องสั่งคืน ค่าฤชาธรรมเนียมอื่นนอกจากนี้ให้เป็นพับ

Share