คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2466/2551

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาตาม ป.อ. มาตรา 328 นั้น จะต้องเป็นการใส่ความบุคคลอื่นต่อบุคคลที่สามโดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชังตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 326 แห่ง ป.อ. ด้วย แต่ข่าวในหนังสือพิมพ์ระบุชื่อบุคคลที่ถูกใส่ความว่า ม. และโจทก์มีผู้เสียหายเพียงปากเดียวมาเบิกความว่าเป็นนามปากกาของผู้เสียหาย โดยโจทก์ไม่ได้นำบุคคลที่สามมาเป็นพยานยืนยันได้ว่าขณะผู้เสียหายทำงานเป็นนักข่าวอยู่ที่หนังสือพิมพ์ ร. มีนามปากกาว่า ม. ส่วนคำให้การในชั้นสอบสวนของ พ. และ อ. ก็เป็นเพียงพยานบอกเล่าที่จำเลยไม่มีโอกาสซักค้าน จึงฟังไม่ได้ว่ามีบุคคลอื่นทราบว่าผู้เสียหายมีนามปากกาว่า ม. แม้ข้อเท็จจริงจะได้ความตามที่ผู้เสียหายเบิกความว่า ผู้เสียหายกับจำเลยเคยทำงานอยู่ที่หนังสือพิมพ์ ร. อันเป็นการยืนยันว่าจำเลยทราบดีว่าผู้เสียหายมีนามปากกาว่า ม. แต่เมื่อโจทก์ไม่มีพยานอื่นมาเบิกความยืนยันได้ว่ามีบุคคลที่สามทราบว่านามปากกา ม. ตามข้อความในหนังสือพิมพ์ ร. หมายถึงผู้เสียหาย ดังนั้น แม้จะฟังว่าจำเลยเป็นคนเขียนข้อความดังกล่าว การกระทำของจำเลยก็ยังไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทเนื่องจากไม่มีบุคคลที่สามทราบว่า ม. เป็นผู้ใด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 326, 328 ริบของกลางและนับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขที่ 4557/2542 และ 523/2543 ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328 ฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณาด้วยเอกสาร จำคุก 3 เดือน และปรับ 10,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ยกคำขอให้นับโทษต่อ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า หนังสือพิมพ์ระยองเบื้องหลังข่าวได้ลงข้อความว่า “นายไมค์ที่เคยอยู่หนังสือพิมพ์ระยองเบื้องหลังข่าวได้ออกไปทำใบปลิวโจมตีหนังสือพิมพ์ที่ตัวเองเคยสังกัดอยู่อาศัยทำมาหากินหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นฉบับอื่นไม่รู้สันดานก็รับไว้ นึกว่ามีฝีมือช่วยองค์กรที่ตัวเองสังกัดอยู่ให้เจริญก้าวหน้า แต่เปล่าเลย มุ่งแสวงหาประโยชน์ให้ตัวเองอย่างเดียว ไม่คำนึงถึงเพื่อนร่วมงาน จนเจ้าของหนังสือพิมพ์ที่รับไว้ทนไม่ไหว ได้โทรศัพท์มาบอก บก. หนังสือพิมพ์ระยองเบื้องหลังข่าวว่าได้ปลดนาไมค์ออกจากตำแหน่งบรรณาธิการบริหารแล้วและส่งข่าวคืนทั้งหมด ห้ามใช้หนังสือพิมพ์ของเขาไปหากินอีก บุคคลนี้ไม่มีความจริงในให้ใคร เพื่อผลประโยชน์ลูกเดียวทำได้หมด คุณสมยศยังจะเชื่อบุคคลนี้อีกหรือ” และหนังสือพิมพ์ดังกล่าวระบุชื่อจำเลยเป็นเจ้าของและประธานบริหาร คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 นั้นจะต้องเป็นการใส่ความบุคคลอื่นต่อบุคคลที่สามโดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชังตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 326 แห่งประมวลกฎหมายอาญาด้วย แต่ข่าวในหนังสือพิมพ์ระบุชื่อบุคคลที่ถูกใส่ความว่า นายไมค์และโจทก์มีผู้เสียหายเพียงปากเดียวมาเบิกความว่าเป็นนามปากกาของผู้เสียหาย โดยโจทก์ไม่ได้นำบุคคลที่สามมาเป็นพยานยืนยันได้ว่าขณะผู้เสียหายทำงานเป็นนักข่าวอยู่ที่หนังสือพิมพ์ระยองเบื้องหลังข่าวมีนามปากกาว่านายไมค์ส่วนคำให้การในชั้นสอบสวนของนางพรใจและนายอำนวยก็เป็นเพียงพยานบอกเล่าที่จำเลยไม่มีโอกาสซักค้าน จึงฟังไม่ได้ว่ามีบุคคลอื่นทราบว่าผู้เสียหายมีนามปากกาว่านายไมค์แม้ข้อเท็จจริงจะได้ความตามที่ผู้เสียหายเบิกความว่า ผู้เสียหายกับจำเลยเคยทำงานอยู่ที่หนังสือพิมพ์ระยองเบื้องหลังข่าวอันเป็นการยืนยันว่าจำเลยทราบดีว่าผู้เสียหายมีนามปากกาว่านายไมค์แต่เมื่อโจทก์ไม่มีพยานอื่นมาเบิกความยืนยันได้ว่ามีบุคคลที่สามทราบว่านามปากกานายไมค์ตามข้อความในหนังสือพิมพ์ระยองเบื้องหลังข่าว หมายถึงผู้เสียหาย ดังนั้น แม้จะฟังว่าจำเลยเป็นคนเขียนข้อความดังกล่าว การกระทำของจำเลยก็ยังไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทเนื่องจากไม่มีบุคคลที่สามทราบว่า นายไมค์เป็นผู้ใด คดีไม่จำต้องวินิจฉัยว่าจำเลยเป็นผู้เขียนข้อความหรือไม่นั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share