คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3011/2551

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยขึ้นนั่งคร่อมและเข็นรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายมาจากจุดที่จอดเดิมประมาณ 1 เมตร แต่จำเลยยังไม่ทันติดเครื่องรถขับเอาไปเพราะผู้เสียหายมาพบเห็นเสียก่อน จำเลยจึงทิ้งรถวิ่งหนีไปถือได้ว่าจำเลยเข้ายึดถือครอบครองและเอาทรัพย์เคลื่อนไปในลักษณะที่พาเอาไปได้เป็นการลักทรัพย์สำเร็จแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2544 เวลากลางวัน จำเลยกับพวกอีก 1 คน ยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ร่วมกันลักทรัพย์รถจักรยานยี่ห้อคาวาซากิ หมายเลขทะเบียน 555 กรุงเทพมหานคร ราคา 40,000 บาท ของนายทองคูณผู้เสียหายไป ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 335 ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (7) วรรคแรก ประกอบมาตรา 80 จำคุก 2 ปี คำรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี 4 เดือน ริบของกลาง
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (7) วรรคแรก ลงโทษจำคุก 4 ปี จำเลยให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุก 2 ปี 8 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยไม่โต้เถียงกันในชั้นฎีกาฟังเป็นยุติว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุในฟ้อง จำเลยกับพวกอีก 1 คน ลงมือกระทำความผิดลักทรัพย์รถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายโดยจำเลยขึ้นนั่งคร่อมและเข็นรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายออกมาจากจุดที่จอดเดิมประมาณ 1 เมตร แต่จำเลยยังไม่ทันติดเครื่องรถขับเอาไปเพราะผู้เสียหายมาพบเห็นการกระทำความผิดของจำเลยเสียก่อน จำเลยจึงทิ้งรถวิ่งหนีไป คงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกาตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า การกระทำความผิดของจำเลยดังกล่าวเป็นการลักทรัพย์สำเร็จแล้วตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือไม่ ที่จำเลยอ้างมาในฎีกาว่า จำเลยเพียงแต่นั่งคร่อมรถจักรยานยนต์ยังไม่ทันติดเครื่องยนต์เพื่อที่จะพารถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไป ทั้งรถจักรยานยนต์ดังกล่าวผู้เสียหายก็ล็อกคอรถไว้จำเลยกับพวกไม่ได้เลื่อยหรือตัดเดือยล็อกคอรถจักรยานยนต์แต่อย่างใด การกระทำของจำเลยจึงเป็นเพียงความผิดฐานพยายามลักทรัพย์เท่านั้น เห็นว่า แม้จำเลยยังไม่ทันติดเครื่องยนต์ก็ตามแต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยขึ้นนั่งคร่อมและเข็นรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายออกจากจุดที่เดิมประมาณ 1 เมตร ย่อมถือได้ว่าจำเลยเข้ายึดถือครอบครองและเอาทรัพย์เคลื่อนไปในลักษณะที่พาเอาไปได้แล้ว การกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นการลักทรัพย์สำเร็จแล้ว หาใช่เป็นเพียงการพยายามกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ดังที่จำเลยฎีกา ส่วนที่จำเลยอ้างว่ารถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายล็อกคอไว้ จำเลยกับพวกไม่ได้เลื่อยหรือตัดเดือยล็อกคอรถจักรยานยนต์ดังกล่าวนั้น เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย…”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยมีกำหนด 3 ปี ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสามแล้ว คงจำคุก 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share