แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยดำเนินการโอนทะเบียนรถยนต์พิพาทมาเป็นชื่อโจทก์ เพื่อให้โจทก์สามารถใช้รถยนต์พิพาทได้ตามวัตถุประสงค์ของการทำสัญญาซื้อขาย หาใช่ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรับผิดชำระค่าเสียหายเพราะความชำรุดบกพร่องของรถยนต์พิพาทไม่ ความรับผิดของจำเลยจึงไม่อยู่ในบังคับอายุความ 1 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 474 แต่ต้องอยู่ในบังคับอายุความทั่วไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30 ซึ่งมีอายุความ 10 ปี
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยไปดำเนินการโอนทะเบียนรถยนต์หมายเลขทะเบียน 2 ฝ-9411 กรุงเทพมหานคร มาเป็นชื่อโจทก์ หากจำเลยไม่ไปโอนขอให้จำเลยชำระภาษีสรรพสามิตรถยนต์ดัดแปลงจำนวน 123,123 บาท ให้แก่โจทก์ และให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์วันละ 200 บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะได้โอนทะเบียนรถยนต์แก่โจทก์เสร็จสิ้น
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระภาษีสรรพสามิตรถยนต์ดัดแปลงจำนวน 123,123 บาท แก่โจทก์และให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์วันละ 100 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 2 สิงหาคม 2545) เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระภาษีสรรพสามิตรถยนต์ดัดแปลงแก่โจทก์ครบถ้วน กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 600 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้เถียงกันในชั้นฎีกาฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2543 โจทก์ซื้อรถยนต์พิพาทจากจำเลยในราคา 700,000 บาท โจทก์ชำระราคารถยนต์พิพาทให้แก่จำเลยแล้ว จำเลยส่งมอบรถยนต์พิพาทให้แก่โจทก์ในวันเดียวกัน พร้อมสมุดคู่มือจดทะเบียนรถยนต์ แบบคำขอโอนและรับโอน ใบมอบอำนาจ สำเนาทะเบียนบ้าน และสำเนาบัตรประชาชนให้แก่โจทก์ เพื่อให้โจทก์ไปดำเนินการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงชื่อเจ้าของรถเป็นชื่อโจทก์เอง ตามแบบคำขอโอนและรับโอน ใบมอบอำนาจ สำเนารายการจดทะเบียน และหนังสือสัญญาซื้อขายรถยนต์ โจทก์ไปดำเนินการจดทะเบียนรถแต่เจ้าหน้าที่ไม่ดำเนินการให้เนื่องจากรถยนต์พิพาทเป็นรถยนต์ที่ถูกดัดแปลงเป็นรถยนต์ 7 ที่นั่ง จะต้องเสียภาษีสรรพสามิตรถยนต์ดัดแปลงเสียก่อน…
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามคำแก้ฎีกาของจำเลยมีว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ โดยจำเลยแก้ฎีกาว่า โจทก์รับมอบรถยนต์พิพาทเมื่อปี 2543 โจทก์ย่อมทราบถึงการดัดแปลงรถยนต์พิพาทแล้วตั้งแต่เวลานั้น แต่โจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อปี 2545 เกินกำหนดเวลา 1 ปี นับแต่เวลาที่โจทก์พบเห็นความชำรุดบกพร่อง ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 474 นั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยดำเนินการโอนทะเบียนรถยนต์พิพาทมาเป็นชื่อโจทก์ เพื่อให้โจทก์ใช้รถยนต์พิพาทได้ตามวัตถุประสงค์ของการทำสัญญาซื้อขาย หาใช่ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรับผิดชำระค่าเสียหายเพราะความชำรุดบกพร่องของรถยนต์พิพาทไม่ ความรับผิดของจำเลยจึงไม่อยู่ในบังคับอายุความ 1 ปี ตามมาตรา 474 แต่ต้องอยู่ในบังคับอายุความทั่วไปตามมาตรา 193/30 ซึ่งมีอายุความ 10 ปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ คำแก้ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษากลับให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีการวม 5,000 บาท