คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1997/2551

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ว่า ตามคำฟ้องของโจทก์ โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้กู้ยืมเงินของโจทก์ร่วมกับจำเลยที่ 1 โจทก์บรรยายฟ้องเพียงว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยที่ 1 ในโฉนดที่ดินที่จำนอง เมื่อสัญญากู้มีจำเลยที่ 1 เป็นผู้กู้แต่เพียงผู้เดียว จำเลยที่ 2 มิได้ลงลายมือชื่อเป็นผู้กู้ด้วย จึงไม่ต้องรับผิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 653 ทั้งมิได้อยู่ในฐานะผู้ค้ำประกัน จึงไม่ต้องรับผิดตามตาม ป.พ.พ. มาตรา 680 ขอให้ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องจำเลยที่ 2 นั้น เป็นกรณีที่จำเลยที่ 2 อุทธรณ์คัดค้านมูลหนี้ที่จำเลยที่ 2 จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ซึ่งถือได้ว่าเป็นการพิพาทกันในเรื่องทรัพย์สิน จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ จำเลยที่ 2 จะต้องเสียค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 150 วรรคสอง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 13,508,648 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 10 ต่อปี ของต้นเงิน 13,492,235.38 บาท นับแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2544 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง ต้องไม่เกิน 3,842,514.70 บาท หากไม่ชำระให้บังคับเอาจากทรัพย์จำนอง จำเลยทั้งสองอุทธรณ์รวมกันมาในฉบับเดียวกัน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองเฉพาะข้อ 2.2 ส่วนอุทธรณ์ข้อ 2.1 ที่จำเลยที่ 2 ขอให้ยกฟ้องในส่วนของจำเลยที่ 2 นั้นต้องเสียค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ที่จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดชำระต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยที่ 2 ชำระค่าขึ้นศาลภายใน 15 วัน
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้จำเลยที่ 2 นำเงินค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์มาวางชำระภายใน 10 วัน นับแต่วันทราบคำสั่ง
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า อุทธรณ์ในข้อ 2.1 ที่จำเลยที่ 2 ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์เป็นคดีที่มีทุนทรัพย์หรือไม่ พิเคราะห์แล้ว ตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ข้อ 2.1 จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ว่า ตามคำฟ้องของโจทก์ โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้กู้ยืมเงินของโจทก์ร่วมกับจำเลยที่ 1 โจทก์บรรยายฟ้องเพียงว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยที่ 1 ในโฉนดที่ดินที่จำนอง เมื่อสัญญากู้มีจำเลยที่ 1 เป็นผู้กู้แต่เพียงผู้เดียว จำเลยที่ 2 มิได้ลงลายมือชื่อเป็นผู้กู้ด้วย จึงไม่ต้องรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 ทั้งมิได้อยู่ในฐานะผู้ค้ำประกัน จึงไม่ต้องรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 680 ขอให้ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องจำเลยที่ 2 นั้น เป็นกรณีที่จำเลยที่ 2 อุทธรณ์คัดค้านมูลหนี้ที่จำเลยที่ 2 จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ซึ่งถือได้ว่าเป็นการพิพาทกันในเรื่องทรัพย์สิน จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ จำเลยที่ 2 จะต้องเสียค่าขึ้นศาลตามอุทธรณ์ข้อ 2.1 ในชั้นอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 150 วรรคสอง และเนื่องจากระยะเวลาที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้จำเลยที่ 2 นำค่าขึ้นศาลตามอุทธรณ์ข้อ 2.1 มาชำระสิ้นสุดแล้ว จึงเห็นสมควรให้จำเลยที่ 2 มีเวลาปฏิบัติตามคำสั่งศาลอุทธรณ์ดังกล่าวอีกระยะหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้จำเลยที่ 2 ชำระค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์อย่างคดีมีทุนทรัพย์ในอุทธรณ์ข้อ 2.1 ของจำเลยทั้งสองด้วยนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 2 นำค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ที่พิพาทตามศาลอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองในข้อ 2.1 มาชำระภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นเห็นสมควรกำหนด ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ

Share