แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
การลงโทษจำเลยที่กระทำความผิดหลายกรรมต่างกันและให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตาม ป.อ. มาตรา 91 นั้น มิได้มีกฎหมายบัญญัติให้แยกลดโทษแต่ละกระทงก่อนแล้วจึงรวมโทษภายหลัง การที่ศาลรวมโทษที่วางแต่ละกระทงแล้วจึงลดโทษให้จำคุกจำเลยเป็นรายปีจึงชอบด้วยกฎหมาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณต้นเดือนสิงหาคม 2547 วันใดไม่ปรากฏชัด เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน คือ ข้อ 1. (ก.) จำเลยกระทำอนาจารเด็กหญิง อ. ผู้เสียหายที่ 1 อายุ 12 ปีเศษ (เกิดวันที่ 10 กรกฎาคม 2536 (ที่ถูก 11 ปีเศษ)) และเด็กหญิง ก. ผู้เสียหายที่ 2 อายุ 7 ปี (เกิดวันที่ 10 ธันวาคม 2539 (ที่ถูก 7 ปีเศษ)) ซึ่งเป็นเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี จำนวนหลายครั้งโดยกอด จูบ หอมแก้มและจับอวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2 และ ข้อ 1. (ข.) จำเลยกระทำอนาจารผู้เสียหายที่ 1 อายุ 12 ปีเศษ (เกิดวันที่ 10 กรกฎาคม 2536 (ที่ถูก 11 ปีเศษ)) ผู้เสียหายที่ 2 อายุ 7 ปี (เกิดวันที่ 10 ธันวาคม 2539 (ที่ถูก 7 ปีเศษ)) เด็กหญิง ว. ผู้เสียหายที่ 3 อายุ 9 ปี (เกิดวันที่ 29 มิถุนายน 2538 (ที่ถูก 9 ปีเศษ)) เด็กหญิง ร. และผู้เสียหายที่ 8 อายุ 9 ปี (เกิดวันที่ 27 ธันวาคม 2538 (ที่ถูก 8 ปีเศษ)) ซึ่งเป็นเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี โดยจำเลยกอด จูบ หอมแก้มและจับอวัยวะเพศผู้เสียหายทั้งสี่ทีละคน ขณะที่ผู้เสียหายทั้งสี่นอนพักค้างคืนร่วมกันในบ้านพักของผู้มีชื่อ 2 คืน ติดต่อกัน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279, 91
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคแรก การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 รวม 10 กระทง จำคุกกระทงละ 1 ปี เป็นจำคุก 10 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 5 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาปัญหาข้อกฎหมายว่าศาลล่างทั้งสองลงโทษจำคุกจำเลยเป็นรายปีโดยไม่นับเป็นรายเดือนไม่ชอบนั้น เห็นว่า การลงโทษจำเลยที่กระทำความผิดหลายกรรมต่างกันและให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 นั้น มิได้มีกฎหมายบัญญัติให้แยกลดโทษแต่ละกระทงก่อนแล้วจึงรวมภายหลัง การที่ศาลล่างทั้งสองรวมโทษที่วางแต่ละกระทงแล้วจึงลดโทษให้จำคุกจำเลยเป็นรายปีนั้น จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ที่โจทก์ฟ้องจำเลยตามข้อ 1. (ข.) ว่า จำเลยกระทำอนาจารผู้เสียหายทั้งสี่โดยจำเลยกอด จูบ หอมแก้ม และจับอวัยวะเพศผู้เสียหายทั้งสี่ทีละคน ขณะที่ผู้เสียหายทั้งสี่นอนพักค้างคืนร่วมกันในบ้านพักของผู้มีชื่อ 2 คืน ติดต่อกันนั้น ยังไม่ชัดแจ้งว่าจำเลยกระทำความผิดในคืนแรกและคืนที่สองต่างวันเวลากันหรือจำเลยกระทำอนาจารผู้เสียหายทั้งสี่ขณะที่ผู้เสียหายทั้งสี่นอนพักค้างคืนร่วมกันในบ้านพักของผู้มีชื่อ 2 คืน ติดต่อกัน ดังนั้น แม้จำเลยให้การรับสารภาพก็จะฟังว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องข้อ 1. (ข.) ทั้งสองคืนรวม 8 กระทง มิได้ คงฟังได้เพียงว่าจำเลยกระทำความผิดตามผิดตามฟ้องข้อ 1. (ข.) เป็น 4 กระทง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษตามฟ้องข้อ 1. (ข.) รวม 8 กระทง นั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยมิได้ยกขึ้นอุทธรณ์และฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยกระทำความผิดรวม 6 กระทงจำคุกกระทงละ 1 ปี เป็นจำคุก 6 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4