แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์และจำเลยทั้งสอง ได้กำหนดเวลาชำระหนี้แต่ละงวดไว้แน่นอนตามวันแห่งปฏิทิน ซึ่งหากจำเลยทั้งสองผิดนัดการชำระหนี้งวดใดงวดหนึ่งถือว่าจำเลยทั้งสองผิดนัดการชำระหนี้ทุกงวด ยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันที แสดงให้เห็นเจตนาของคู่สัญญาที่ประสงค์ให้ถือเอาเวลาชำระหนี้ที่กำหนดไว้เป็นสาระสำคัญ และศาลชั้นต้นได้พิพากษาไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว จึงผูกพันโจทก์และจำเลยทั้งสองตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคแรก แม้โจทก์จะรับชำระหนี้งวดที่ 1 ถึงงวดที่ 4 ซึ่งชำระไม่ตรงตามกำหนด โดยโจทก์ไม่คิดดอกเบี้ยผิดนัดจากจำเลยทั้งสองก็เป็นเรื่องที่โจทก์ยังไม่ประสงค์จะบังคับคดีในขณะนั้นเท่านั้น ไม่ทำให้จำเลยทั้งสองพ้นจากความผูกพันที่จะต้องชำระหนี้งวดต่อไปให้ตรงตามกำหนด เมื่อจำเลยทั้งสองยังคงชำระหนี้งวดที่ 5 ไม่ตรงตามกำหนดอีก จึงเป็นผู้ผิดนัด
จำเลยทั้งสองผิดนัดชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์จึงมีสิทธิขอให้บังคับคดีด้วยการยึดที่ดินของจำเลยที่ 2 มาชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความตาม ป.วิ.พ. มาตรา 271 แม้โจทก์จะทราบมาก่อนว่าที่ดินดังกล่าวจำเลยที่ 2 ได้เสนอขายต่อสหกรณ์ออมทรัพย์ครูสุพรรณบุรี จำกัด และคณะกรรมการดำเนินการสหกรณ์ออมทรัพย์ครูสุพรรณบุรี จำกัด มีมติให้ซื้อจากจำเลยที่ 2 แล้ว ก็ไม่เป็นการใช้สิทธิบังคับคดีโดยไม่สุจริต
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 7,500,000 บาท แก่โจทก์ โดยผ่อนชำระเป็น 14 งวด ทุกวันที่ 22 มีนาคม วันที่ 22 กรกฎาคม และวันที่ 22 พฤศจิกายน งวดกแรกชำระวันที่ 22 มีนาคม 2539 หากผิดนัดการชำระเงินงวดใดงวดหนึ่งให้ถือว่าผิดนัดการชำระเงินทุกงวด ยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันที และยอมเสียดอกเบี้ยสำหรับเงินที่ค้างชำระในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันผิดนัดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ต่อมาวันที่ 30 กรกฎาคม 2540 โจทก์ยื่นคำขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีโดยอ้างว่าจำเลยทั้งสองผิดนัดชำระเงิน และโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของจำเลยที่ 2 มาชำระหนี้
จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องว่า นับแต่โจทก์และจำเลยทั้งสองทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โจทก์ยอมผ่อนเวลาชำระเงินในแต่ละงวดให้แก่จำเลยทั้งสองตลอดมา และโจทก์ได้รับเงินที่จำเลยทั้งสองชำระในงวดที่ 1 ถึงงวดที่ 4 ไปครบถ้วนแล้ว แต่ในงวดที่ 5 โจทก์กลับไม่ยอมรับชำระเงินจากจำเลยทั้งสอง โดยอ้างว่าจำเลยทั้งสองผิดนัด และได้บังคับคดีด้วยการยึดที่ดินที่จำเลยที่ 2 จะต้องโอนขายให้แก่สหกรณ์ออมทรัพย์ครูสุพรรณบุรี จำกัด อันเป็นการกระทำที่ไม่สุจริต ขอให้งดการขายทอดตลาดและเพิกถอนการยึดที่ดินของจำเลยที่ 2
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า โจทก์ไม่เคยตกลงผ่อนเวลาชำระเงินในแต่ละงวดกับจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองชำระเงินในแต่ละงวดล่าช้ากว่ากำหนดตลอดมา โจทก์ยอมอะลุ่มอล่วยให้จำเลยทั้งสองเฉพาะงวดที่ 1 ถึงงวดที่ 4 โดยยังไม่บังคับคดีทันทีที่จำเลยทั้งสองผิดนัด และได้กำชับจำเลยทั้งสองไม่ให้ผิดนัดอีก แต่จำเลยทั้งสองก็ยังชำระเงินงวดที่ 5 ล่าช้ากว่ากำหนดอีก โจทก์จึงไม่รับชำระจากจำเลยทั้งสอง และขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดียึดที่ดินของจำเลยที่ 2 โดยโจทก์ไม่ทราบมาก่อนว่าจำเลยที่ 2 ได้เสนอขาดที่ดินดังกล่าวต่อสหกรณ์ออมทรัพย์ครูสุพรรณบุรี จำกัด และคณะกรรมการดำเนินการสหกรณ์ออมทรัพย์ครูสุพรรณบุรี จำกัด มีมติให้ซื้อที่ดินของจำเลยที่ 2 โจทก์บังคับคดีโดยสุจริต ไม่ได้กลั่นแกล้งจำเลยที่ 2 ขอให้ยกคำร้องของจำเลยที่ 2
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ยุติว่า จำเลยทั้งสองได้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความงวดที่ 1 ถึงงวดที่ 5 ให้แก่โจทก์ไม่ตรงตามกำหนด โจทก์รับชำระหนี้เฉพาะงวดที่ 1 ถึงงวดที่ 4 ตามใบรับเงิน เอกสารหมาย ร.4 หรือ จ.1 ส่วนงวดที่ 5 โจทก์ไม่รับชำระ หลังจากนั้นโจทก์ขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดี และนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 42842 ตำบลรั้วใหญ่ อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรีของจำเลยที่ 2 ที่ดินดังกล่าวจำเลยที่ 2 ได้เสนอขายต่อสหกรณ์ออมทรัพย์ครูสุพรรณบุรี จำกัด และคณะกรรมการดำเนินการสหกรณ์ออมทรัพย์ครูสุพรรณบุรี จำกัด มีมติให้ซื้อที่ดินของจำเลยที่ 2 ตามประกาศสหกรณ์ออมทรัพย์ครูสุพรรณบุรี จำกัด เอกสารหมาย ร.8 และ ร.9
ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาข้อแรกว่า โจทก์ได้รับชำระหนี้งวดที่ 1 ถึงงวดที่ 4 จากจำเลยทั้งสอง โดยไม่คิดดอกเบี้ยผิดนัดแสดงให้เห็นว่าโจทก์ไม่ได้ถือเอากำหนดเวลาชำระหนี้เป็นสาระสำคัญอีกต่อไป การที่จำเลยทั้งสองชำระหนี้ไม่ตรงตามกำหนด จึงไม่ถือว่าจำเลยทั้งสองผิดนัดชำระหนี้นั้น เห็นว่า ตามข้อตกลงในสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์และจำเลยทั้งสอง ได้กำหนดเวลาชำระหนี้แต่ละงวดไว้แน่นอนตามวันแห่งปฏิทิน ซึ่งหากจำเลยทั้งสองผิดนัดการชำระหนี้งวดใดงวดหนึ่ง ถือว่าจำเลยทั้งสองผิดนัดการชำระหนี้ทุกงวด ยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันที แสดงให้เห็นเจตนาของคู่สัญญาที่ประสงค์ให้ถือเอาเวลาชำระหนี้ที่กำหนดไว้ในแต่ละงวดเป็นสาระสำคัญ และศาลชั้นต้นได้พิพากษาไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว คำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความจึงผูกพันโจทก์และจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคแรก แม้โจทก์จะรับชำระหนี้งวดที่ 1 ถึงงวดที่ 4 ซึ่งจำเลยทั้งสองได้ชำระไม่ตรงตามกำหนด โดยโจทก์ไม่คิดดอกเบี้ยผิดนัดจากจำเลยทั้งสองก็เป็นเรื่องที่โจทก์ยังไม่ประสงค์จะบังคับคดีแก่จำเลยทั้งสองในขณะนั้นเท่านั้น ไม่ทำให้จำเลยทั้งสองพ้นจากความผูกพันที่จะต้องชำระหนี้งวดต่อไปให้ตรงตามกำหนด เมื่อปรากฏว่าจำเลยทั้งสองยังคงชำระหนี้งวดที่ 5 ไม่ตรงตามกำหนดอีก จำเลยทั้งสองจึงเป็นผู้ผิดนัดชำระหนี้ ฎีกาของจำเลยที่ 2 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาข้อต่อไปว่า โจทก์ขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของจำเลยที่ 2 เพื่อกลั่นแกล้งไม่ให้จำเลยที่ 2 โอนขายที่ดินให้แก่สหกรณ์ออมทรัพย์ครูสุพรรณบุรี จำกัด อันเป็นการใช้สิทธิบังคับคดีโดยไม่สุจริตนั้น ข้อนี้เป็นประเด็นที่พิพาทกันมาแล้วในศาลชั้นต้น และจำเลยที่ 2 ได้อุทธรณ์ไว้ ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 7 จะต้องวินิจฉัยให้ แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ไม่วินิจฉัย ศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยก่อน และเห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ดังวินิจฉัยมาแล้วว่า จำเลยทั้งสองผิดนัดชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์จึงมีสิทธิขอให้บังคับคดีด้วยการยึดที่ดินของจำเลยที่ 2 มาชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 แม้โจทก์จะทราบมาก่อนว่าที่ดินดังกล่าวจำเลยที่ 2 ได้เสนอขายต่อสหกรณ์ออมทรัพย์ครูสุพรรณบุรี จำกัดและคณะกรรมการดำเนินการสหกรณ์ออมทรัพย์ครูสุพรรณบุรี จำกัดมีมติให้ซื้อจากจำเลยที่ 2 แล้ว ก็หาเป็นการใช้สิทธิบังคับคดีโดยไม่สุจริตไม่ ฎีกาของจำเลยที่ 2 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน ที่ศาลล่างทั้งสองยกคำร้องของจำเลยที่ 2 นั้น ชอบแล้ว”
พิพากษายืน โจทก์ไม่แก้ฎีกา จึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นฎีกาให้