คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8917/2550

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

สัญญากู้เงินมีข้อความว่า จำเลยกู้เงินไปจากโจทก์ทั้งสอง 476,720 บาท และได้รับเงินไปครบถ้วนแล้ว การที่จำเลยให้การรับว่าทำสัญญากู้จริงแต่ไม่ได้รับเงินกู้ มูลหนี้ตามฟ้องไม่ชอบด้วยกฎหมายเป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ จำเลยจึงมีภาระการพิสูจน์ตามข้อต่อสู้
ศาลชั้นต้นมิได้ชี้สองสถานและกำหนดภาระการพิสูจน์ เมื่อโจทก์และจำเลยได้สืบพยานไปจนสิ้นกระแสแล้ว ศาลล่างทั้งสอง ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงในประเด็นข้อพิพาทจากพยานหลักฐานที่โจทก์ จำเลยนำสืบ และศาลอุทธรณ์ภาค 7 ได้วินิจฉัยครบถ้วนชัดแจ้งโดยมิได้ยกภาระการพิสูจน์เป็นเหตุพิพากษาให้แพ้หรือชนะคดีดังนั้นแม้จำเลยจะมีภาระการพิสูจน์ผลแห่งคดีก็ไม่เปลี่ยนแปลงไป การที่โจทก์ทั้งสองฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่าภาระการพิสูจน์ตกแก่ฝ่ายใดจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนี่ง
โจทก์ทั้งสองบรรยายฟ้องว่า จำเลยกู้เงินไปจากโจทก์ทั้งสอง 476,720 บาท โดยจำเลยให้การยอมรับว่ากู้เงินโจทก์ที่ 2 จำนวน 104,600 บาท จึงเป็นการรับข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง การที่จำเลยนำสืบ ว่าความจริงจำเลยกู้เงินไปจากโจทก์ทั้งสองเพียง 50,000 บาท จึงนอกเหนือจากคำให้การของจำเลย แม้ศาลล่างทั้งสองจะได้หยิบยกขึ้นวินิจฉัยให้ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2542 จำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินจากโจทก์ทั้งสอง 476,720 บาท ยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี กำหนดชำระต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยคืนภายในวันที่ 26 มีนาคม 2543 จำเลยได้รับเงินจากโจทก์ทั้งสองครบถ้วนแล้วในวันทำสัญญา เมื่อครบกำหนดจำเลยไม่ได้ชำระเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ทั้งสอง ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 476,720 บาท แก่โจทก์ทั้งสอง พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันกู้จนถึงวันฟ้องคิดเป็นดอกเบี้ย 91,115 บาท และถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยกู้ยืมเงินโจทก์ที่ 1 แต่ยอมรับว่าเคยกู้ยืมเงินโจทก์ที่ 2 หลายครั้ง โดยมิได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือ ต่อมาปี 2532 โจทก์ที่ 2 และจำเลยได้ตัดบัญชีหนี้สินและทำหลักฐานกู้ยืมว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ที่ 2 จำนวน 104,600 บาท กำหนดชำระคืนภายในปี 2536 โดยคิดดอกเบี้ยปีละ 18,000 บาท เมื่อถึงกำหนดตามสัญญาจำเลยไม่มีเงินชำระ โจทก์ที่ 2 ได้ทำสัญญากู้ยืมเงินฉบับใหม่โดยโจทก์ได้นำหนี้เงินกู้ในสัญญาเดิมรวมกับดอกเบี้ยปีละ 18,000 บาท รวมเป็นเงินกู้ในปี 2536 จำนวน 176,500 บาท หากครบกำหนดแล้วจำเลยยังไม่ชำระ โจทก์ที่ 2 ขอคิดดอกเบี้ยแบบทบต้นอัตราร้อยละ 18 ต่อปีของต้นเงินดังกล่าว และตกลงให้มีการทำสัญญากู้ยืมเงินกันทุกปี มูลหนี้ตามฟ้องจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากโจทก์ที่ 2 นำเอาดอกเบี้ยที่คิดเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดมารวมไว้ จำเลยเป็นหนี้เพียง 104,600 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 50,000 บาท แก่โจทก์ที่ 2 พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม 2532 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ที่ 2 โดยกำหนดค่าทนายความให้ 1,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่าที่โจทก์ที่ 2 ชนะคดี ยกฟ้องโจทก์ที่ 1 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์ที่ 1 กับจำเลยให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินต้นแก่โจทก์ที่ 2 อีก 54,600 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลยในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ทั้งสองฎีกา
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษา ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว สำหรับปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของโจทก์ทั้งสองข้อแรกที่ ภาระการพิสูจน์ตกฝ่ายใดนั้น เห็นว่า สัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมาย จ.2 มีข้อความชัดเจนว่า จำเลยกู้เงินไปจากโจทก์ทั้งสอง 476,720 บาท และได้รับเงินไปครบถ้วนแล้วเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2542 การที่จำเลยให้การรับว่าทำสัญญากู้จริงแต่ไม่ได้รับเงินกู้ มูลหนี้ตามฟ้องไม่ชอบด้วยกฎหมายเป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ จำเลยมีภาระการพิสูจน์ตามข้อต่อสู้ แต่คดีนี้ศาลชั้นต้นมิได้ชี้สองสถานและกำหนดภาระการพิสูจน์ เมื่อโจทก์และจำเลยได้สืบพยานไปจนสิ้นกระแสความแล้ว โดยศาลล่างทั้งสองได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงในประเด็นข้อพิพาทจากพยานหลักฐานที่โจทก์จำเลยนำสืบ และศาลอุทธรณ์ภาค 7 ได้วินิจฉัยไว้ครบถ้วนชัดแจ้งโดยมิได้ยกหน้าที่นำสืบหรือภาระการพิสูจน์เป็นเหตุพิพากษาให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดแพ้หรือชนะคดี ดังนั้นแม้จำเลยจะมีภาระการพิสูจน์ผลแห่งคดีก็จะไม่เปลี่ยนแปลงไป การที่โจทก์ทั้งสองฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ปัญหาที่โจทก์ทั้งสองฎีกาข้อต่อไปว่า แม้ข้อเท็จจริงจะรับฟังเป็นยุติว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ 50,000 บาท แต่ตามสัญญากู้ระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลยมีข้อตกลงเรื่องดอกเบี้ย และจำเลยต้องชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 26 มีนาคม 2542 จนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นนั้น เห็นว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 7 มิได้ฟังข้อเท็จจริงยุติดังที่โจทก์ทั้งสองกล่าวอ้างดังกล่าว แต่วินิจฉัยให้จำเลยชำระต้นเงินแก่โจทก์ที่ 2 เพิ่มอีก 54,600 บาท และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 27 มีนาคม 2532 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ดังนี้ฎีกาข้อนี้จึงมิได้โต้แย้งคัดค้านคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 7 ว่า ไม่ชอบหรือไม่ถูกต้องอย่างไรจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ปัญหาตามที่จำเลยฎีกาเพียงข้อเดียวว่า จำเลยต้องรับผิดชำระเงิน 104,600 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 2 หรือไม่ เห็นว่า โจทก์ทั้งสองได้บรรยายฟ้องระบุว่า จำเลยกู้เงินไปจากโจทก์ทั้งสอง 476,720 บาท โดยจำเลยให้การยอมรับว่ากู้เงินโจทก์ที่ 2 จำนวน 104,600 บาท จึงเป็นการรับข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง การที่จำเลยนำสืบว่าความจริงจำเลยกู้เงินไปจากโจทก์ทั้งสองเพียง 50,000 บาท จึงนอกเหนือจากคำให้การของจำเลย แม้ศาลล่างทั้งสองจะได้หยิบยกขึ้นวินิจฉัยให้ ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยเช่นกัน”
พิพากษายกฎีกาของโจทก์ทั้งสองและฎีกาของจำเลย คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาแก่โจทก์ทั้งสองและจำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาทั้งสองฝ่ายนอกจากนี้ให้เป็นพับ

Share