แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
ในคดีรับของโจรนั้น โจทก์มีหน้าที่ต้องนำสืบให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 รับรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไว้โดยรู้อยู่ว่าเป็นทรัพย์อันได้มาจากการกระทำความผิดเข้าลักษณะลักทรัพย์ ไม่ใช่ว่าเมื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้ครอบครองรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายแล้วจำเลยที่ 1 จะต้องนำสืบแก้ตัวว่าตนไม่รู้ว่าเป็นทรัพย์ที่จำเลยที่ 2 ลักมา เมื่อโจทก์คงมีเพียงร้อยตำรวจเอก ว. มาเบิกความเพียงว่า ตรวจค้นรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหาย และรถจักรยานยนต์อีก 2 คันอยู่ภายในโรงรถที่บ้านจำเลยที่ 1 ซึ่งน่าเชื่อว่ามิใช่เพราะทราบเบาะแสของรถจักรยานยนต์เพราะยังพบเมทแอมเฟตามีน 40 เม็ด และไม้กระยาเลยไว้ในครอบครองเกินปริมาตรโดยไม่รับอนุญาตด้วย นอกจากนี้หมายค้นที่ออกให้ค้นบ้านจำเลยที่ 1 ระบุเพื่อพบสิ่งผิดกฎหมายหรือยึดสิ่งของที่มีไว้เป็นความผิดตามกฎหมาย หรือได้มาหรือได้ใช้ในการกระทำผิดซุกซ่อนเท่านั้น มิได้ระบุชัดเจนว่า เพราะสืบทราบว่าจำเลยที่ 1 มีพฤติการณ์ช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซึ่งทรัพย์ของกลางโดยรู้อยู่ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ ทั้งเมื่อถูกจับกุมจำเลยที่ 1 ก็ให้การปฏิเสธทันทีว่าเป็นทรัพย์ที่จำเลยที่ 2 ฝากไว้ โดยไม่ทราบว่าจำเลยที่ 2 ลักทรัพย์ของกลางมาส่วนข้อหาอื่นจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ การนำสืบของโจทก์ยังไม่พอฟังว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานรับของใจร
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 92, 334, 335, 357 นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4484/2544 และคดีอาญาหมายเลขดำที่ 4397/2544 ของศาลชั้นต้น และนับโทษจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 4450/2543, 4451/2543, 4768/2543, 4769/2543, 5278/2543, 4397/2544 ของศาลชั้นต้น และเพิ่มโทษจำเลยที่ 2 ตามกฎหมาย
จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพฐานลักทรัพย์ และรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อและขอให้เพิ่มโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 (ที่ถูก มาตรา 357 วรรคแรก) จำคุก 2 ปี ยกฟ้องจำเลยที่ 1 ฐานลักทรัพย์ นับโทษของจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4484/2544 ของศาลชั้นต้น ส่วนจำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 วรรคแรก (1) (7) (8) วรรคสอง (ที่ถูก 335 (1) (7) (8) วรรคสอง) ประกอบมาตรา 334, 83 (ที่ถูก ไม่ต้องปรับมาตรา 334) จำคุก 3 ปี เพิ่มโทษจำเลยที่ 2 หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 เป็นจำคุก 4 ปี จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ฐานรับของโจร นับโทษของจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษของจำเลยที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4820/2544 ของศาลชั้นต้น คำขออื่นให้ยก
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะจำเลยที่ 1 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2544 เวลาประมาณ 2 นาฬิกา จำเลยที่ 2 ลักรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายขณะอยู่ในความครอบครองของนายกัมพล มงคล ไปแล้วนำไปเก็บไว้ภายในโรงรถที่บ้านจำเลยที่ 1 ต่อมาวันที่ 15 พฤษภาคม 2544 เจ้าพนักงานตำรวจตรวจค้นบ้านจำเลยที่ 1 พบรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหาย และรถจักรยานยนต์อื่นอีก 2 คัน จอดอยู่ภายในโรงรถเก็บรถที่บ้านจำเลยที่ 1 มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานรับของโจรตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า ในคดีรับของโจรนั้น โจทก์มีหน้าที่ต้องนำสืบให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 รับรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไว้โดยรู้อยู่ว่าเป็นทรัพย์อันได้มาจากการกระทำความผิดเข้าลักษณะลักทรัพย์ ไม่ใช่ว่าเมื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้ครอบครองรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายแล้ว จำเลยที่ 1 จะต้องนำสืบแก้ตัวว่าตนไม่รู้ว่าเป็นทรัพย์ที่จำเลยที่ 2 ลักมา เมื่อโจทก์คงมีเพียงร้อยตำรวจเอกวศิน สิทธิขันแก้ว มาเบิกความได้ความเพียงว่า หลังรับแจ้งได้ออกติดตามสืบสวน กระทั่งวันที่ 15 พฤษภาคม 2544 จึงตรวจค้นพบรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหาย และรถจักรยานยนต์อีก 2 คัน อยู่ภายในโรงรถที่บ้านจำเลยที่ 1 ซึ่งการไปตรวจค้นนั้นน่าเชื่อว่าจะมิใช่เพราะทราบเบาะแสของรถจักรยานยนต์เพราะยังพบเมทแอมเฟตามีน 40 เม็ด และไม้กระยาเลยไว้ในครอบครองเกินปริมาตรโดยไม่รับอนุญาตด้วยน่าเชื่อว่าเป็นเพราะจำเลยที่ 1 มีพฤติการณ์เสพเมทแอมเฟตามีนตามที่ขอออกหมายค้น ร้อยตำรวจเอกวศินจึงได้ตอบทนายจำเลยที่ 1 ถามค้านว่า เข้าค้นบ้านจำเลยที่ 1 เวลา 6 นาฬิกา ขณะเข้าจับกุมจำเลยที่ 1 ยังนอนพักอยู่ในห้อง จำเลยที่ 1 มีลักษณะคล้ายผู้เสพยา นอกจากนี้หมายค้นของศาลชั้นต้นที่ออกให้ค้นบ้านจำเลยที่ 1 นั้นระบุเพื่อพบสิ่งผิดกฎหมาย หรือยึดสิ่งของที่มีไว้เป็นความผิดตามกฎหมาย หรือได้มาหรือได้ใช้ในการกระทำผิดซุกซ่อนเท่านั้น มิได้ระบุชัดเจนว่า เพราะสืบทราบว่าจำเลยที่ 1 มีพฤติการณ์ช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซึ่งทรัพย์ของกลางโดยรู้อยู่ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ ทั้งเมื่อถูกจับกุมจำเลยที่ 1 ก็ให้การปฏิเสธทันทีว่า เป็นทรัพย์ที่จำเลยที่ 2 ฝากไว้โดยไม่ทราบว่าจำเลยที่ 2 ลักทรัพย์ของกลางมา ส่วนข้อหามีไม้กระยาเลยไว้ในครอบครองเกินปริมาตรที่กฎหมายกำหนด และข้อหามียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) ไว้ในครอบครองนั้น จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ ดังนี้ การนำสืบของโจทก์ดังกล่าวข้างต้นยังไม่พอฟังว่า จำเลยที่ 1 รับรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไว้จากจำเลยที่ 2 โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่จำเลยที่ 2 ลักมา จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดฐานรับของโจรที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน