คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2965/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

คำให้การชั้นสอบสวนของพยานไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายห้ามมิให้ศาลรับฟังแต่อย่างใด ดังนั้น คำให้การของพยานในชั้นสอบสวน ศาลย่อมนำมาฟังประกอบคำให้การรับสารภาพของจำเลยทั้งสองในชั้นพิจารณาลงโทษจำเลยทั้งสองได้ ทั้งคดีที่โจทก์สืบพยานประกอบคำรับสารภาพของจำเลยทั้งสอง โจทก์ไม่จำต้องนำสืบให้ฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดดังคดีที่จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ โจทก์เพียงนำสืบให้เป็นที่พอใจศาลว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดก็เป็นการเพียงพอแล้ว ดังที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.อ. มาตรา 176 วรรคหนึ่ง
ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา ได้มี พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 5)ฯ มาตรา 8 และมาตรา 19 ยกเลิกความในมาตรา 15 และมาตรา 66 แห่ง พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ และให้ใช้ข้อความใหม่แทนโดยในความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนทั้งกฎหมายเดิมและกฎหมายที่แก้ไขใหม่มีข้อความทำนองเดียวกันตามมาตรา 15 วรรคหนึ่ง จึงต้องใช้กฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดบังคับแก่จำเลยทั้งสองสำหรับคดีนี้จำเลยทั้งสองร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน 2 เม็ด น้ำหนัก 0.18 กรัม โดยไม่ปรากฏว่าเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวมีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้เท่าใด กรณีโทษจำคุกต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 66 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่ซึ่งเป็นคุณมากกว่ากฎหมายเดิม จึงต้องใช้กฎหมายที่แก้ไขใหม่บังคับจำเลยทั้งสองตาม ป.อ. มาตรา 3 ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาจึงมีอำนาจยกขึ้นอ้างและแก้ไขโดยปรับบทกฎหมายให้ถูกต้อง รวมทั้งแก้ไขโทษเสียใหม่ให้เหมาะสมสอดคล้องกับกฎหมายที่แก้ไขใหม่ได้ด้วยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 67, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, 91 ริบเมทแอมเฟตามีน โทรศัพท์เคลื่อนที่ เงินสด 15,000 บาท ของกลางและคืนธนบัตร 1,500 บาท ที่ใช้ล่อซื้อแก่เจ้าของ
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุกคนละ 10 ปี ฐานจำหน่ายยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำคุกคนละ 5 ปี รวมจำคุกคนละ 15 ปี จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุกคนละ 7 ปี 6 เดือน ริบเมทแอมเฟตามีน โทรศัพท์เคลื่อนที่และเงินสด 15,000 บาท ของกลาง คืนธนบัตร 1,500 บาท ที่ใช้ล่อซื้อแก่เจ้าของ คำขอนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง (เดิม), 66 วรรคหนึ่ง (ที่แก้ไขใหม่) ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุกคนละ 5 ปี ให้ยกฟ้องฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนแก่นางรัชนู เหมมินทร์ ด้วย ไม่ริบธนบัตร 15,000 บาท ของกลางโดยให้คืนแก่เจ้าของ นอกจากที่แก้ไขให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามทางนำสืบของโจทก์ประกอบคำรับสารภาพของจำเลยทั้งสองว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยทั้งสองร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 202 เม็ด คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 7.325 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยทั้งสองและนางรัชนู เหมมินทร์ ได้พร้อมกันในบ้านจำเลยทั้งสอง โดยยึดเมทแอมเฟตามีน 2 เม็ดจากนางรัชนูเป็นของกลาง ซึ่งความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้แก่สายลับกระทงหนึ่งนั้นเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คงมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์เพียงว่า พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบประกอบคำรับสารภาพของจำเลยทั้งสองจะรับฟังลงโทษจำเลยทั้งสองในความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้แก่นางรัชนูได้หรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีร้อยตำรวจโทธวัช ตันสกุล และสิบตำรวจโทประจักษ์ ทหารไทย เป็นพยานเบิกความยืนยันทำนองเดียวกันว่า ก่อนเข้าจับกุมสืบทราบว่าจำเลยทั้งสองมีพฤติการณ์จำหน่ายเมทแอมเฟตามีนที่บ้านเกิดเหตุ จึงวางแผนจับกุมโดยขอหมายค้นจากศาลชั้นต้น เมื่อเข้าตรวจค้นภายในบ้านพบนางรัชนูอยู่กับจำเลยทั้งสองด้วยและค้นพบเมทแอมเฟตามีน 2 เม็ดอยู่ในครอบครองของนางรัชนู ซึ่งนางรัชนูให้การรับสารภาพว่าเมทแอมเฟตามีน 2 เม็ดดังกล่าวซื้อมาจากจำเลยที่ 1 ตามบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนในฐานะพยานและผู้ต้องหา แม้ในชั้นพิจารณาโจทก์จะมิได้นำนางรัชนูเข้าเบิกความ คงมีแต่เฉพาะบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของนางรัชนูดังกล่าวก็ตาม แต่บันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของนางรัชนูดังกล่าวนั้น จำเลยทั้งสองแถลงยอมรับว่านางรัชนูได้ให้การดังกล่าวไว้ในชั้นสอบสวนจริง ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ตามที่ปรากฏในคำให้การชั้นสอบสวนของนางรัชนูดังกล่าวว่า นางรัชนูซื้อเมทแอมเฟตามีนของกลาง 2 เม็ดมาจากจำเลยที่ 1 และเมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นสามีภริยาถูกจับกุมในบ้านเกิดเหตุพร้อมกับเมทแอมเฟตามีนที่มีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจำนวน 202 เม็ด พยานหลักฐานดังกล่าวจึงบ่งชี้ว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน 2 เม็ดให้แก่นางรัชนู และแม้ว่าบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของนางรัชนูนั้นจะเป็นคำให้การซัดทอดของผู้กระทำความผิดด้วยกันก็ตาม แต่คำซัดทอดดังกล่าวก็มิได้เป็นเรื่องปัดความผิดของผู้ซัดทอดให้เป็นความผิดของจำเลยทั้งสองแต่ฝ่ายเดียว คงเป็นการแจ้งเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากการกระทำความผิดของตนยิ่งกว่าเป็นการปรักปรำจำเลยทั้งสอง ทั้งคำให้การชั้นสอบสวนของนางรัชนูดังกล่าวก็ไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายห้ามมิให้ศาลรับฟังแต่อย่างใด ดังนั้น คำให้การของนางรัชนูในชั้นสอบสวนดังกล่าว ศาลย่อมนำมาฟังประกอบคำให้การรับสารภาพของจำเลยทั้งสองในชั้นพิจารณาลงโทษจำเลยทั้งสองได้ ทั้งคดีนี้เป็นคดีที่โจทก์สืบพยานประกอบคำรับสารภาพของจำเลยทั้งสอง โจทก์ไม่จำต้องนำสืบให้ฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดดังคดีที่จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ โจทก์เพียงนำสืบให้เป็นที่พอใจศาลว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดก็เป็นการเพียงพอแล้ว ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาเห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์ดังกล่าวเป็นที่พอใจรับฟังประกอบคำรับสารภาพของจำเลยทั้งสองได้ว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้แก่นางรัชนูจริงดังที่ศาลชั้นต้นพิพากษา ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ไม่ลงโทษจำเลยทั้งสองในความผิดฐานนี้จึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
อนึ่ง ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา ได้มีพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2545 มาตรา 8 และมาตรา 19 ยกเลิกความในมาตรา 15 และมาตรา 66 แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 และให้ใช้ข้อความใหม่แทนโดยในความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ทั้งกฎหมายเดิมและกฎหมายที่แก้ไขใหม่มีข้อความทำนองเดียวกันตามมาตรา 15 วรรคหนึ่ง จึงต้องใช้กฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดบังคับแก่จำเลยทั้งสอง สำหรับคดีนี้จำเลยทั้งสองร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน 2 เม็ด น้ำหนัก 0.18 กรัม โดยไม่ปรากฏว่าเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวมีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้เท่าใด กรณีโทษจำคุกต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 66 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่ ซึ่งเป็นคุณมากกว่ากฎหมายเดิมจึงต้องใช้กฎหมายที่แก้ไขใหม่บังคับแก่จำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาจึงมีอำนาจยกขึ้นอ้างและแก้ไขโดยปรับบทกฎหมายให้ถูกต้อง รวมทั้งแก้ไขโทษเสียใหม่ให้เหมาะสมสอดคล้องกับกฎหมายที่แก้ไขใหม่ได้ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดฐานร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนอีกกระทงหนึ่งด้วย จำคุกคนละ 4 ปี จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 2 ปี เมื่อรวมโทษความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายแล้ว เป็นโทษจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 7 ปี นอกจากที่แก้ไขให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8

Share