คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1354/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

จำเลยเป็นพวกเดียวกับคนร้ายอีกสองคนซึ่งเป็นผู้วิ่งไล่ถืออาวุธคล้ายมีดเป็นของมีคมยาวประมาณ 1 ศอก แทงผู้ตายจนถึงแก่ความตาย การที่จำเลยชกต่อยผู้ตายก่อนเมื่อผู้ตายวิ่งหนีจำเลยก็วิ่งไล่ตามผู้ตายไปพร้อมๆ กับคนร้ายทั้งสองที่ถืออาวุธไปด้วย สภาพอาวุธเห็นได้ชัดเจนว่าอาจทำให้ถึงแก่ความตายได้ หากจำเลยไม่มีเจตนาร่วมกับคนร้ายทั้งสอง เมื่อจำเลยชกต่อยผู้ตายครั้งแรกแล้ว จำเลยอาจหยุดกระทำโดยไม่วิ่งไล่ตามผู้ตายไปก็ได้ แต่จำเลยหากระทำไม่ การที่จำเลยวิ่งไล่ตามไปทำร้ายผู้ตายกับพวกของจำเลยซึ่งวิ่งถืออาวุธดังกล่าวไปด้วย จึงย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าอาจมีการทำร้ายผู้ตายให้ถึงแก่ความตายได้ ทั้งเป็นการที่อยู่ในภาวะที่ช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้ พฤติการณ์การกระทำของจำเลยจึงเป็นตัวการร่วมกันกระทำความผิดกับคนร้ายทั้งสอง การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับนายนพพรหรือหน่อง ไชยวงศ์รักษ์ จำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1159/2539 ของศาลชั้นต้น ร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายชกต่อยนายสมหมาย ขันตี และใช้ของมีคมปลายแหลมยาว 1 ศอก เป็นอาวุธแทง 1 ครั้งอย่างแรงถูกบริเวณหน้าอกขวาโดยมีเจตนาฆ่าเป็นเหตุให้นายสมหมายถึงแก่ความตาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 83
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษา จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 83 ขณะเกิดเหตุจำเลยอายุ 19 ปีเศษ ลดมาตราส่วนโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 53 ประกอบมาตรา 78 ให้จำคุก 10 ปี
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 วรรคแรก ประกอบมาตรา 83 ลงโทษจำคุก 5 ปี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุในฟ้อง นายนพพรหรือหน่อง ไชยวงศ์รักษ์ จำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1159/2539 ของศาลชั้นต้น ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6883/2541 ใช้ของมีคมปลายแหลมแทงผู้ตายเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า จำเลยได้ร่วมกระทำความผิดกับนายนพพรหรือหน่อง ไชยวงศ์รักษ์ ตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีนายมนต์ชัย เหมบุรุษ กับพลทหารศักดา คำสิงห์ เบิกความว่า เห็นจำเลยวิ่งไล่ชกต่อยผู้ตายในระยะห่างประมาณ 3 เมตร และวิ่งไล่ตามผู้ตายไปกับนายนพพรหรือหน่อง ต่อมาผู้ตายก็ถูกแทงถึงแก่ความตาย เห็นว่า ประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสองเคยรู้จักจำเลยมาก่อน ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกันจึงไม่มีเหตุระแวงสงสัยว่าจะเบิกความปรักปรำจำเลยให้ต้องรับโทษ เชื่อว่าพยานโจทก์เบิกความไปตามความเป็นจริง ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยเป็นพวกเดียวกันกับนายนพพรหรือหน่อง ซึ่งเป็นผู้วิ่งไล่ถืออาวุธคล้ายมีดเป็นของมีคมยาวประมาณ 1 ศอกแทงผู้ตายจนถึงแก่ความตาย การที่จำเลยชกต่อยผู้ตายก่อน เมื่อผู้ตายวิ่งหนี จำเลยก็วิ่งตามผู้ตายไปพร้อมๆ กับนายนพพรหรือหน่องที่ถืออาวุธไปด้วย อาวุธดังกล่าวยาวประมาณ 1 ศอก จึงเห็นได้ชัดเจนว่าอาจทำให้ถึงแก่ความตายได้ หากจำเลยไม่มีเจตนาร่วมกับนายนพพรหรือหน่องเมื่อจำเลยชกต่อยผู้ตายครั้งแรกแล้ว จำเลยอาจหยุดกระทำโดยไม่วิ่งไล่ตามผู้ตายไปก็ได้ แต่จำเลยหากระทำไม่ ดังนั้น การที่จำเลยวิ่งไล่ตามไปทำร้ายผู้ตายโดยมีนายนพพรหรือหน่องซึ่งเป็นพวกของจำเลยวิ่งถืออาวุธดังกล่าวไปด้วย จึงย่อมเล็งเห็นผลได้ว่า อาจมีการทำร้ายผู้ตายให้ถึงแก่ความตายได้ ทั้งเป็นการที่อยู่ในภาวะที่ช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้ พฤติการณ์การกระทำของจำเลยจึงเป็นตัวการร่วมกันกระทำความผิดกับนายนพพรหรือหน่อง การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยมาศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share