คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2125/2548

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

กฎหมายล้มละลายมีบทบัญญัติที่กำหนดสภาวะหยุดนิ่งหรือการพักชำระหนี้ (automatic stay) นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งรับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ไว้พิจารณา โดยมีวัตถุประสงค์ในการสงวนรักษาทรัพย์สินของลูกหนี้ไว้เพื่อประโยชน์แก่การรวบรวมทรัพย์สินของลูกหนี้มาจัดสรรชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้อย่างเป็นธรรมและลดความกดดันทางการเงินจากการถูกเจ้าหนี้บังคับยึดทรัพย์สินหรือหลักประกัน และมีบัญญัติเกี่ยวกับกระบวนการขอรับชำระหนี้เพื่อให้ผู้ทำแผนทราบถึงจำนวนหนี้สินของลูกหนี้ที่จะต้องนำทรัพย์สินมาจัดสรรชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ตามจำนวนและเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในแผน และเมื่อศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยกับแผนแล้วย่อมมีผลผูกมัดเจ้าหนี้ซึ่งอาจขอรับชำระในการฟื้นฟูกิจการได้และเจ้าหนี้ซึ่งมีสิทธิได้รับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการ เพื่อให้หนี้สินของลูกหนี้ที่มีอยู่แล้วได้รับการสะสางภายใต้กระบวนการของแผนฟื้นฟูกิจการให้เสร็จสิ้นไป ผู้คัดค้านซึ่งไปเจ้าหนี้รายหนึ่งในมูลหนี้ที่อาจขอรับชำระหนี้ได้ จึงต้องผูกพันในแผนฟื้นฟูกิจการที่ศาลสั่งเห็นชอบแล้ว และสิทธิในการจะบังคับชำระหนี้เองในมูลหนี้ที่อาจขอรับชำระหนี้ได้นี้ย่อมสิ้นไป สำหรับทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ผู้คัดค้านมีคำสั่งอายัดไว้ก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งรับคำร้องขอให้ฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ไว้พิจารณานั้น เมื่อพิจารณาวัตถุประสงค์ในการคุ้มครองในการห้ามยึดหรืออายัดทรัพย์สินของลูกหนี้ต่อไปแล้ว แม้มาตรา 90/12 (7) จะใช้คำว่า “ยึด” ก็ตาม แต่ย่อมหมายความรวมถึงการอายัดด้วย เพราะเมื่อมีการส่งทรัพย์สินหรือเงินตามที่อายัดให้ ก็จะนำไปสู่การบังคับคดีได้เองนั่นเอง แม้คดีนี้จะเป็นการอายัดก่อนศาลมีคำสั่งรับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการ แต่เมื่อมูลหนี้ของผู้คัดค้านเกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ ผู้คัดค้านยื่นคำขอรับชำระหนี้โดยชอบ แผนฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ได้กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการชำระหนี้แก่ผู้คัดค้านไว้ และศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนแล้ว ผู้คัดค้านจึงผูกพันที่จะต้องปฏิบัติตามแผนซึ่งรวมถึงการได้รับชำระหนี้จากลูกหนี้ด้วยโดยผลของมาตรา 90/60 ผู้คัดค้านไม่อาจได้รับชำระหนี้โดยวิธีอื่นนอกจากจำนวนและตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในแผนนั้น ผู้คัดค้านจึงไม่มีสิทธิอายัดทรัพย์สินของลูกหนี้ไว้ได้อีกต่อไป

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2546 ให้ฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ และตั้งลูกหนี้เป็นผู้ทำแผน ต่อมาเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2546 ศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ โดยมีผู้ทำแผนเป็นผู้บริหารแผน
ผู้บริหารแผนยื่นคำร้องว่า ก่อนที่ลูกหนี้จะเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ ผู้คัดค้านได้มีคำสั่งอายัดทรัพย์สินถึงอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรมให้ทำการอายัดหม้อน้ำและอุปกรณ์ส่วนควบดังกล่าวรวม 6 เครื่อง โดยห้ามลูกหนี้ทำการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมกับบุคคลอื่น จนกว่าลูกหนี้จะชำระภาษีสรรพสามิตที่ค้างอยู่ให้แล้วเสร็จ นอกจากนั้นผู้คัดค้านได้ออกคำสั่งอายัดทรัพย์สินไปยังธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สำนักนานาเหนือ อายัดเงินฝากของลูกหนี้จำนวน 13,976,366.80 บาท ทำให้มีผลกระทบต่อการปฏิบัติตามแผน กล่าวคือ ทำให้ลูกหนี้ไม่สามารถจดทะเบียนโอนขายหม้อน้ำและอุปกรณ์ส่วนควบให้แก่บริษัทไทยออยส์ จำกัด ให้เป็นไปตามแผนฟื้นฟูกิจการข้อ 6.5.3 ลูกหนี้ไม่อาจเบิกถอนเงินในบัญชีเพื่อให้หมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจเพื่อก่อให้เกิดรายได้ซึ่งจะต้องนำมาชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ตามแผน และอาจส่งผลให้ลูกหนี้ขาดสภาพคล่องทางการเงินอีกส่วนหนึ่ง ดังนั้น เพื่อให้ลูกหนี้สามารถนำเงินและทรัพย์สินส่วนนี้ไปใช้หมุนเวียนดำเนินธุรกิจของลูกหนี้ อันจะก่อให้เกิดรายได้ชำระหนี้ตามแผนให้แก่เจ้าหนี้ที่เป็นประโยชน์ต่อกิจการของลูกหนี้และเจ้าหนี้ทั้งหลาย ขอให้ยกเลิกคำสั่งของผู้คัดค้านทั้งสองคำสั่งดังกล่าว
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้าน ขอให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งอายัดทรัพย์สินของผู้คัดค้านทั้งสองฉบับ
ผู้คัดค้านอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา โดยอธิบดีผู้พิพากษาศาลล้มละลายกลางอนุญาตให้อุทธรณ์เป็นหนังสือ
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังยุติได้ว่า ผู้คัดค้านได้ออกคำสั่งอายัดทรัพย์สินที่ 10/2544 ลงวันที่ 5 ตุลาคม 2544 อายัดเงินฝากของลูกหนี้ในธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สำนักนานาเหนือ จำนวน 13,976,366.80 บาท และคำสั่งอายัดทรัพย์สินที่ 1/2545 ลงวันที่ 3 กรกฎาคม 2545 อายัดหม้อน้ำและอุปกรณ์ส่วนควบรวมจำนวน 6 เครื่อง การอายัดดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งรับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการไว้พิจารณาในวันที่ 14 มีนาคม 2546 ผู้คัดค้านยื่นคำขอรับชำระหนี้เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2546 และถูกจัดเป็นเจ้าหนี้กลุ่มที่ 5 ต่อมาศาลได้มีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ตามมติที่ประชุมเจ้าหนี้ และคดีถึงที่สุด ขณะนี้อยู่ในระหว่างดำเนินการฟื้นฟูกิจการตามแผน มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้คัดค้านว่า การอายัดทรัพย์สินของผู้คัดค้านก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งรับคำร้องขอให้ฟื้นฟูกิจการตกอยู่ในบังคับมาตรา 90/12 (7) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 ที่ห้ามมิให้เจ้าหนี้ซึ่งบังคับชำระหนี้ได้เองตามกฎหมายยึดทรัพย์สินหรือขายทรัพย์สินของลูกหนี้หรือไม่ เห็นว่า บทบัญญัติดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ที่กฎหมายได้กำหนดให้เกิดสภาวะหยุดนิ่งหรือพักการชำระหนี้ (automatic stay) ขึ้นนับแต่วันที่ศาลได้มีคำสั่งรับคำร้องขอให้ฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ไว้พิจารณา โดยมีวัตถุประสงค์ในการสงวนรักษาทรัพย์สินของลูกหนี้ไว้เพื่อประโยชน์แก่การรวบรวมทรัพย์สินของลูกหนี้มาจัดสรรชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้อย่างเป็นธรรมและเป็นไปตามระบบที่กฎหมายกำหนดไว้ภายใต้กรอบของแผนฟื้นฟูกิจการและให้เวลาแก่ลูกหนี้หรือผู้ทำแผนสำรวจความบกพร่องของกิจการนำไปวางแผนปรับปรุงแก้ไขให้กิจการขอลูกหนี้ดำเนินการต่อไปได้ รวมทั้งลดความกดดันทางการเงินจากการถูกเจ้าหนี้บังคับยึดทรัพย์สินหรือหลักประกัน และมาตรา 90/27 บัญญัติว่า “เจ้าหนี้อาจยื่นคำขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการได้ถ้ามูลแห่งหนี้ได้เกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการ…” กรณีเป็นการกำหนดให้เจ้าหนี้ที่อาจขอรับชำระได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ให้การฟื้นฟูกิจการก็เพื่อให้ผู้ทำแผนทราบถึงจำนวนหนี้สินของลูกหนี้ที่จะต้องนำทรัพย์สินของลูกหนี้มาจัดสรรชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ และเจ้าหนี้ที่ขอรับชำระหนี้ก็จะได้รับการชำระหนี้ตามจำนวนและเงื่อนไขที่กำหนดในแผน ซึ่งมาตรา 90/60 บัญญัติว่า “แผนซึ่งศาลมีคำสั่งเห็นชอบแล้วผูกมัดเจ้าหนี้ซึ่งอาจขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการได้และเจ้าหนี้ซึ่งมีสิทธิได้รับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการ…” บทบัญญัติดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า มูลหนี้ที่อาจขอรับชำระหนี้ได้ทุกประเภทจะต้องเข้ามาอยู่ในระบบการฟื้นฟูกิจการ เพื่อให้หนี้สินของลูกหนี้ที่มีอยู่แล้วได้รับการชำระสะสางภายใต้กระบวนการของแผนฟื้นฟูกิจการให้เสร็จสิ้นไป ผู้คัดค้านซึ่งเป็นเจ้าหนี้รายหนึ่งในมูลหนี้ที่อาจขอรับชำระหนี้ได้ จึงต้องผูกพันในแผนฟื้นฟูกิจการ กล่าวคือ เมื่อศาลสั่งเห็นชอบด้วยแผนสิทธิของเจ้าหนี้ในการได้รับชำระหนี้ย่อมเป็นไปตามข้อกำหนดและเงื่อนไขในแผน สิทธิของเจ้าหนี้ในการจะบังคับชำระหนี้เองในมูลหนี้ที่อาจขอรับชำระหนี้ได้นี้ยอมสิ้น สำหรับทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ผู้คัดค้านมีคำสั่งอายัดไว้ก่อนวันที่ศาลได้มีคำสั่งรับคำร้องขอให้ฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ไว้พิจารณานั้น เมื่อพิจารณาวัตถุประสงค์ของการคุ้มครองในการห้ามมิให้ผู้คัดค้านยึดหรือขายทรัพย์สินของลูกหนี้ต่อไปแล้ว ก็เพื่อให้การชำระหนี้จะต้องเป็นไปตามแผนนั้นแม้มาตรา 90/12 (7) จะใช้คำว่า “ยึด” ก็ตามแต่ย่อมหมายรวมถึงการอายัดด้วย เพราะการอายัดในการบังคับเอง เมื่อมีการส่งทรัพย์สินหรือเงินตามที่อายัดให้ ก็จะนำไปสู่การบังคับคดีได้เอง แม้ในคดีนี้จะเป็นการอายัดก่อนที่ศาลมีคำสั่งรับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการ แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความด้วยว่ามูลหนี้ของผู้คัดค้านเกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ ผู้คัดค้านยื่นคำขอรับชำระหนี้โดยชอบ แผนฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ได้กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการชำระหนี้แก่ผู้คัดค้านไว้ และศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนแล้ว ผู้คัดค้านจึงผูกพันที่จะต้องปฏิบัติตามแผนซึ่งรวมถึงการได้รับชำระหนี้จากลูกหนี้ ทั้งนี้ โดยผลของมาตรา 90/60 ดังกล่าวผู้คัดค้านไม่อาจได้รับชำระหนี้โดยวิธีอื่นนอกจากจำนวนและตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในแผนนั้น ผู้คัดค้านจึงไม่มีสิทธิอายัดทรัพย์สินของลูกหนี้ไว้อีกต่อไป ผู้บริหารแผนชอบที่จะขอให้เพิกถอนคำสั่งอายัดทรัพย์สินทั้งสองคำสั่งนั้นเสีย ที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งอายัดทรัพย์สินของผู้คัดค้านมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share