คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2117/2548

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

คำร้องของผู้ร้องที่ยื่นต่อศาลก่อนเอาทรัพย์สินจำนองออกขายทอดตลาดขอให้กันเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์สินจำนองไว้เท่ากับภาระหนี้จำนองที่จำเลยมีต่อผู้ร้องนั้น แสดงให้เห็นเจตนาของผู้ร้องว่าประสงค์จะให้นำทรัพย์สินจำนองออกขายทอดตลาดโดยปลอดจำนองและนำเงินที่ได้จากการขายมาชำระหนี้จำนองแก่ผู้ร้องก่อน ถือได้ว่าเป็นการขอรับชำระหนี้จำนองจากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองโดยอาศัยอำนาจแห่งการจำนองซึ่งผู้ร้องมีบุริมสิทธิในการที่จะได้รับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้รายอื่นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 289 แม้ผู้ร้องจะอ้างว่าเป็นการขอกันส่วนตามมาตรา 287 แต่เมื่อคำร้องของผู้ร้องต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 289 ศาลมีอำนาจรับคำร้องของผู้ร้องไว้พิจารณาได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 405,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ แต่จำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าว โจทก์จึงขอให้บังคับคดี เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 11514 และ 11515 ตำบลหัวไผ่ (งิ้วราย) อำเภอเมืองสิงห์บุรี (อินทร์บุรี) จังหวัดสิงห์บุรี ของจำเลยที่ 2 ออกขายทอดตลาด
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า เดิมจำเลยที่ 2 จำนองที่ดินที่ถูกบังคับคดีเป็นประกันหนี้ไว้แก่ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) และยังมีภาระหนี้จำนองรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 70,921,232.90 บาท ต่อมาผู้ร้องรับโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพหรือรับโอนสิทธิเรียกร้องตลอดจนหลักประกันของสินทรัพย์จากธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งรวมถึงหนี้สินของจำเลยที่ 2 ที่มีอยู่กับธนาคารดังกล่าวด้วย ผู้ร้องประสงค์จะขอกันส่วนโดยอาศัยอำนาจบุริมสิทธิจากทรัพย์สินจำนองของจำเลยที่ 2 ที่โจทก์ยึดไว้ ขอให้กันเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดตามภาระหนี้จำนองจำนวน 70,921,232.90 บาท ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ผู้ร้องในฐานะเจ้าหนี้จำนองยื่นคำร้องขอให้กันส่วนเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยที่ 2 ในคดีนี้โดยอาศัยสิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 แต่การบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาย่อมไม่กระทบกระเทือนถึงบุริมสิทธิที่ผู้ร้องมีอยู่เหนือทรัพย์ที่ยึดไว้ในคดีนี้อยู่แล้ว ทั้งบทบัญญัติในมาตราดังกล่าวให้ความคุ้มครองโดยไม่จำต้องยื่นคำร้องต่อศาล กรณีจึงไม่มีเหตุจะต้องพิจารณาคำร้องของผู้ร้อง จึงให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้ร้องว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้องชอบหรือไม่ เห็นว่า เมื่อพิเคราะห์คำร้องของผู้ร้องที่ยื่นต่อศาลก่อนเอาทรัพย์สินจำนองออกขายทอดตลาดแล้ว การที่ผู้ร้องขอให้กันเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์สินจำนองไว้เท่ากับภาระหนี้จำนองที่จำเลยมีต่อผู้ร้องนั้น แสดงให้เห็นเจตนาของผู้ร้องว่าประสงค์จะให้นำทรัพย์สินจำนองออกขายทอดตลาดโดยปลอดจำนองและนำเงินที่ได้จากการขายมาชำระหนี้จำนองแก่ผู้ร้องก่อน อันถือได้ว่าเป็นการขอรับชำระหนี้จำนองจากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองโดยอาศัยอำนาจแห่งการจำนองซึ่งผู้ร้องมีบุริมสิทธิในการที่จะได้รับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้รายอื่นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289 แม้ผู้ร้องจะอ้างว่าเป็นการขอกันส่วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 แต่เมื่อคำร้องของผู้ร้องต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 289 ก็ไม่ทำให้คำร้องของผู้ร้องเสียไป ศาลมีอำนาจรับคำร้องของผู้ร้องไว้พิจารณาได้ ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้อง ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของผู้ร้องฟังขึ้น”
พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นรับคำร้องของผู้ร้องไว้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป

Share