แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 ตกลงจ่ายค่าจ้างตอบแทนการทำงานให้แก่โจทก์โดยจ่ายในนามของโจทก์เดือนละ 47,000 บาท และจ่ายในนามของมารดาโจทก์เดือนละ 73,730 บาท โดยมารดาโจทก์ไม่ได้มาปฏิบัติงานให้แก่จำเลยที่ 1 การที่ตกลงจ่ายค่าตอบแทนให้โจทก์ในนามของมารดาโจทก์ ก็โดยมีเจตนาเพื่อทำให้รายได้พึงประเมินของโจทก์ที่ใช้เป็นฐานคำนวณและเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตาม ป.รัษฎากร ของโจทก์ลดลงไปจากที่ได้รับจริง ดังนี้ สัญญาจ้างแรงงานระหว่างจำเลยที่ 1 กับโจทก์ แม้มีข้อตกลงเกี่ยวกับวิธีการจ่ายเงินค่าจ้างอันมีผลทำให้รัฐจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากโจทก์ได้ลดน้อยลงถือได้ว่าเป็นการไม่สุจริต แต่ข้อตกลงดังกล่าวก็หาตกเป็นโมฆะไม่ โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าจ้างในส่วนนี้ได้ พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันผิดนัดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 จ่ายค่าคอมมิชชั่นหรือค่าบำเหน็จจากการขาย 9,720,000 บาท ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าตอบแทนจากกองทุนเกษียณอายุ 1,380,155 บาท และค่าจ้างค้าง 80,229 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี สำหรับค่าคอมมิชชั่นหรือค่าบำเหน็จจากการขายและค่าตอบแทนกองทุนเกษียณอายุนับแต่วันฟ้อง และในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี สำหรับค่าจ้างค้างจ่ายนับแต่วันที่ 7 มิถุนายน 2544 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสองออกใบสำคัญการทำงานหรือหนังสือรับรองการทำงาน (ใบผ่านงาน) ให้แก่โจทก์ด้วย
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 จ่ายค่าจ้างค้างจำนวน 26,634 บาท และจำเลยที่ 2 จ่ายค่าจ้างค้างจำนวน 11,815 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 10 มิถุนายน 2544 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยกเสีย
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยทั้งสอง ครั้งสุดท้ายทำหน้าที่เป็นกรรมการผู้จัดการ จำเลยทั้งสองมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์…มีปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิบังคับให้จำเลยที่ 1 จ่ายค่าจ้างที่ค้างชำระแก่โจทก์ในส่วนที่จ่ายในนามของมารดาโจทก์หรือไม่ ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 ตกลงจ่ายค่าจ้างตอบแทนการทำงานให้แก่โจทก์โดยจ่ายในนามของโจทก์เดือนละ 47,000 บาท และจ่ายในนามของมารดาโจทก์เดือนละ 73,730 บาท โดยมารดาโจทก์ไม่ได้มาปฏิบัติงานให้แก่จำเลยที่ 1 การที่ตกลงจ่ายค่าตอบแทนให้โจทก์ในนามของมารดาโจทก์ก็โดยมีเจตนาเพื่อทำให้รายได้พึงประเมินของโจทก์ที่ใช้เป็นฐานคำนวณและเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามประมวลรัษฎากรของโจทก์ลดลงไปจากที่ได้รับจริง เห็นว่า สัญญาจ้างแรงงานระหว่างจำเลยที่ 1 กับโจทก์นั้น แม้มีข้อตกลงเกี่ยวกับวิธีการจ่ายเงินค่าจ้างอันมีผลทำให้รัฐจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากโจทก์ได้ลดน้อยลง ถือได้ว่าเป็นการไม่สุจริต แต่ข้อตกลงการจ่ายค่าจ้างให้แก่โจทก์ของจำเลยที่ 1 ก็หาตกเป็นโมฆะไม่ โจทก์จึงมีสิทธิรับค่าจ้างในส่วนนี้ได้ ซึ่งจำเลยที่ 1 ค้างชำระค่าจ้างแก่โจทก์ระหว่างวันที่ 21 พฤษภาคม 2544 ถึงวันที่ 6 มิถุนายน 2544 คิดเป็นเงิน 41,780.33 บาท โจทก์จึงชอบที่จะขอให้บังคับจำเลยที่ 1 จ่ายเงินจำนวนนี้พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 10 มิถุนายน 2544 ซึ่งถือได้ว่าเป็นวันผิดนัดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ได้ อุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 จ่ายค่าจ้างจำนวน 68,414.33 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 10 มิถุนายน 2544 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง