คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1622/2549

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ผู้ซื้อทรัพย์ยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์เพราะอุทธรณ์มิได้กล่าวโดยชัดแจ้งว่า คำสั่งศาลชั้นต้นไม่ชอบอย่างไรและไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยจากศาลอุทธรณ์ ผู้ซื้อทรัพย์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ ดังนั้น เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์คำสั่งของผู้ซื้อทรัพย์ คำสั่งศาลอุทธรณ์จึงเป็นที่สุดตาม ป.วิ.พ. มาตรา 236 วรรคหนึ่ง ผู้ซื้อทรัพย์จึงไม่มีสิทธิฎีกา

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ จำเลยทั้งสามไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 2 แล้วขายทอดตลาดโดยผู้ซื้อทรัพย์เป็นผู้ประมูลได้ ต่อมาผู้ซื้อทรัพย์ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ริบเงินมัดจำของผู้ซื้อทรัพย์ ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ให้ริบเงินมัดจำของผู้ซื้อทรัพย์ ให้ผู้ซื้อทรัพย์นำเงินมัดจำส่วนที่เหลือมาวางต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีภายใน 30 วัน นับแต่วันทราบคำสั่ง
ผู้ซื้อทรัพย์อุทธรณ์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คำขอบังคับให้ศาลอุทธรณ์บังคับให้ มิได้โต้แย้งหรือได้ขอไว้ตั้งแต่ในศาลชั้นต้น ทั้งอุทธรณ์มิได้กล่าวไว้โดยชัดแจ้งว่าคำสั่งศาลชั้นต้นไม่ชอบอย่างไรและไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยจากศาลอุทธรณ์ด้วยจึงไม่รับ คืนค่าขึ้นศาลให้ทั้งหมด
ผู้ซื้อทรัพย์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าอุทธรณ์มิได้กล่าวไว้โดยชัดแจ้งว่าคำสั่งศาลชั้นต้นไม่ชอบอย่างไรและไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยจากศาลอุทธรณ์และไม่รับอุทธรณ์คำสั่งของผู้ซื้อทรัพย์ชอบแล้ว จึงมีคำสั่งยืนตามคำสั่งศาลชั้นต้น ค่าคำร้องให้เป็นพับ
ผู้ซื้อทรัพย์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “เมื่อคู่ความยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลที่ปฏิเสธไม่ยอมรับอุทธรณ์ ให้ศาลส่งคำร้องเช่นว่านั้นไปยังศาลอุทธรณ์โดยไม่ชักช้าพร้อมด้วยคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดคดีของศาลชั้นต้นและฟ้องอุทธรณ์ ถ้าศาลอุทธรณ์เห็นเป็นการจำเป็นที่จะต้องตรวจสำนวน ให้มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นส่งสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์ ในกรณีเช่นนี้ ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาคำร้อง แล้วมีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นหรือมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ คำสั่งนี้ให้เป็นที่สุด แล้วส่งไปให้ศาลชั้นต้นอ่าน” คดีนี้ผู้ซื้อทรัพย์ยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ เพราะอุทธรณ์มิได้กล่าวโดยชัดแจ้งว่า คำสั่งศาลชั้นต้นไม่ชอบอย่างไรและไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยจากศาลอุทธรณ์ ผู้ซื้อทรัพย์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ ดังนั้น เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์คำสั่งของผู้ซื้อทรัพย์ คำสั่งศาลอุทธรณ์จึงเป็นที่สุดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ผู้ซื้อทรัพย์ไม่มีสิทธิฎีกา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายกฎีกาของผู้ซื้อทรัพย์ให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดแก่ผู้ซื้อทรัพย์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากที่คืนให้เป็นพับ

Share