แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
มูลหนี้ตามคำฟ้องของโจทก์ทั้ง 7 ข้อหา เป็นมูลหนี้ที่โจทก์ได้ซื้อและรับโอนสิทธิเรียกร้องรวมทั้งหนี้สินที่จำเลยทั้งสี่มีอยู่กับเจ้าหนี้เดิมจำนวน 7 ราย แต่เจ้าหนี้เดิมของจำเลยทั้งสี่เป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจากกัน มูลหนี้ที่จำเลยทั้งสี่จะต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้เดิมแต่ละรายไม่มีความเกี่ยวข้องกัน และมีจำนวนเงินที่แยกออกจากกันได้ จึงมีสภาพแห่งข้อหา ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาและคำขอบังคับแตกต่างกัน ไม่เกี่ยวข้องกันและสามารถแยกจากกันได้ การที่โจทก์รวมข้อหาทั้ง 7 ข้อหาเป็นคดีเดียว และเสียค่าขึ้นศาลในอัตราสูงสุดเพียงจำนวนเดียว จึงไม่ถูกต้อง ศาลล่างชอบที่จะจำหน่ายคดีโดยให้โจทก์ยื่นฟ้องเป็นคดีใหม่ในมูลหนี้แต่ละรายได้ และการที่ศาลสั่งจำหน่ายคดีดังกล่าวเป็นอำนาจทั่วไปของศาล เมื่อเห็นว่าฟ้องของโจทก์ไม่ชอบที่จะฟ้องรวมกัน ศาลก็มีอำนาจที่จะสั่งให้จำหน่ายคดีเสียได้ เพื่อให้โจทก์นำคดีไปฟ้องใหม่ให้ถูกต้องภายในอายุความ มิใช่ต้องยกฟ้องโจทก์ และการที่ศาลมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีโจทก์มีผลเท่ากับศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณา มิใช่เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาข้อกฎหมายเบื้องต้นถึงอำนาจฟ้องของโจทก์หรือเป็นการวินิจฉัยในเนื้อหาของคดี โจทก์ย่อมสามารถนำคดีมาฟ้องใหม่ได้โดยเสียค่าธรรมเนียมศาลให้ถูกต้อง
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสี่เป็นลูกหนี้ของบริษัทเงินทุนธีรชัยทรัสต์ จำกัด บริษัทเงินทุนยูไนเต็ด จำกัด (มหาชน) บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ธนพล จำกัด (มหาชน) บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์พารา จำกัด (มหาชน) บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์สหธนกิจไทย จำกัด (มหาชน) บริษัทเงินทุนเอกธนกิจ จำกัด (มหาชน) และบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์คาเธ่ย์ไฟน์แนนซ์ จำกัด (มหาชน) เจ้าหนี้เดิมโจทก์เป็นผู้ซื้อและรับโอนสิทธิเรียกร้องรวมทั้งหนี้สินที่จำเลยทั้งสี่มีอยู่กับเจ้าหนี้เดิมทั้ง 7 ราย ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 103,406,867.72 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21 ต่อปี ของต้นเงิน 59,511,917.81 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยที่ 4 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 93,314,401.99 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21 ต่อปี ของต้นเงิน 54,511,917.18 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสี่ให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า มูลหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องจำเลยทั้งสี่เป็นมูลหนี้ต่างรายกัน เจ้าหนี้เดิมเป็นคนละรายกัน แบ่งแยกออกจากกันได้และมิได้มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน จึงเห็นควรให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ โดยให้โจทก์ไปฟ้องเป็นคดีใหม่ในมูลหนี้แต่ละรายภายในกำหนด 2 เดือน หรือภายในอายุความที่ยาวกว่า คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมดให้โจทก์
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยทั้งสี่ฎีกาว่า การใช้สิทธิฟ้องร้องดำเนินคดีทางศาลของโจทก์ดังกล่าวเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต และจงใจหลีกเลี่ยงค่าธรรมเนียมศาลซึ่งเป็นประเด็นเรื่องอำนาจฟ้อง ศาลชอบที่จะพิพากษาฟ้องโจทก์และไม่ต้องคืนค่าฤชาธรรมเนียมแก่โจทก์ อีกทั้งตัดสิทธิมิให้โจทก์นำคดีมาฟ้องใหม่นั้น เห็นว่า มูลหนี้ตามคำฟ้องของโจทก์ทั้ง 7 ข้อหา เป็นมูลหนี้ที่โจทก์ได้ซื้อและรับโอนสิทธิเรียกร้องรวมทั้งหนี้สินที่จำเลยทั้งสี่มีอยู่กับเจ้าหนี้เดิมจำนวน 7 ราย ตามสัญญาขายสำหรับการจำหน่ายของปรส. แต่เจ้าหนี้เดิมของจำเลยทั้งสี่เป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจากกัน มูลหนี้ที่จำเลยทั้งสี่จะต้องรับผิดเจ้าหนี้เดิมแต่ละรายไม่มีความเกี่ยวข้องกัน และมีจำนวนเงินที่แยกออกจากกันได้ จึงมีสภาพแห่งข้อหา ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาและคำขอบังคับแตกต่างกัน ไม่เกี่ยวข้องกันและสามารถแยกจากกันได้ การที่โจทก์รวมข้อหาทั้ง 7 ข้อหาเป็นคดีเดียว และเสียค่าขึ้นศาลในอัตราสูงสุดเพียงจำนวนเดียวจึงไม่ถูกต้อง ที่ศาลล่างทั้งสองให้จำหน่ายคดีโดยให้โจทก์ยื่นฟ้องเป็นคดีใหม่ในมูลหนี้แต่ละรายชอบแล้ว และการที่ศาลสั่งจำหน่ายคดีดังกล่าวเป็นอำนาจทั่วไปของศาล เมื่อเห็นว่าฟ้องของโจทก์ไม่ชอบที่จะฟ้องรวมกัน ศาลก็มีอำนาจที่จะสั่งให้จำหน่ายคดีเสียได้ เพื่อให้โจทก์นำคดีไปฟ้องใหม่ให้ถูกต้องภายในอายุความ มิใช่ต้องยกฟ้องโจทก์ดังที่จำเลยทั้งสี่ฎีกา และการที่ศาลมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีโจทก์ดังกล่าวมีผลเท่ากับศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณา มิใช่เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาข้อกฎหมายเบื้องต้นถึงอำนาจฟ้องของโจทก์หรือเป็นการวินิจฉัยในเนื้อหาของคดี โจทก์ย่อมสามารถนำคดีมาฟ้องใหม่ได้โดยเสียค่าธรรมเนียมศาลให้ถูกต้อง ฎีกาของจำเลยทั้งสี่ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน